วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

What I miss

What I miss..
is someone that I can miss, I can love, I can dream of
tonight.

What I miss..
is the sense of belonging, owning, pairing, to the one
tonight.

What I miss..
is someone to whom I can give, from whom I can take, from whom I can demand, and to whom I can devote
tonight.

tonight.

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

รอยยิ้ม

รอยยิ้มนั้น
เป็นเหมือนคมหนามนับร้อยพัน
ทิ่มแทงฉัน
และฉัน
อยากทิ่มแทงตัวเองด้วยคมหนามให้มากกว่านี้อีกพันหมื่นแสนเท่า
แต่ฉันก็มีแต่น้ำตา
ที่ไร้ประโยชน์
และใจของฉันมีน้ำตามากยิ่งกว่า
เพราะรอยยิ้มที่เป็นสุข
ที่แหลมคมยิ่งกว่าคมหนามพันหมื่นแสนล้านคม

เดินผ่านความเหงา

ฉันเดินผ่านความเหงา ก้าวข้ามความว่าง
ในวันนี้
วันก่อน
และวันต่อไป

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

เหงา

I must go down to the sea again,
to the lonely sea and the sky;
and all I ask is a tall ship and a star to steer her by.

วันศุกร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Falling

Since the day I fell into your arms
I have never been the same again.

Since the day you let go of me
I have fallen again.

Yes, you cannot force your heart
and so can´t I

So I let myself watching me falling
From grace
And I keep falling, falling, falling

I know that it is no good
I know that I am not happy
But you cannot force your heart and so can´t I
It is a destiny

I would not be able to look up high
I will not be able to be at that height

If only you did not let go of me
Like this..
If only you did not let go of me
This way..

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

ใช่ดวงแก้วดาริกาก็หาไม่


คงเพราะรักคือความจริงที่เลื่อนไหล
วันหนึ่งจึงกลายเป็นเพียงเศษขยะ
เป็นความน่ารำคาญ..เป็นภาระ
และเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์

ฉันเคยหลงผิดคิดไปว่า
เป็นแก้วตาที่เธอกอดไว้แนบอก
เป็นแสงสวยที่สาดส่องห้องเรื้อรก
เป็นยอดรัก..เป็นขวัญแห่งชีวิต

แสนเสียดายสง่าราศี
ที่เคยงามเคยดีก็หมดสิ้น
หลับตาบูชารักจนพังภินท์
ทิ้งความงามให้จมดินจนย่อยยับ

จึงจำต้องหยัดอยู่อย่างรวดร้าว
ดาริกาเคยแพรวพราวก็มืดดับ
ที่เคยเห็นเป็นแสงเหลื่อมเลื่อมระยับ
ก็หายวับกลับเป็นแก้วจากหลอดไฟ

ในนามของความรัก..
ทั้งหมดที่แลกไปเพื่อได้มา
จะควรค่าคุ้มราคาก็หาไม่
ได้แต่กล่าวโทษตัวเองซ้ำซากไป
ทำไมไม่รู้จักถนอมตน

ดูเอาเถิดฉันผู้อยู่ตรงหน้า
หลั่งน้ำตาให้เศษซากร่วงหล่น
สิ้นแล้วประกายฤกษ์ประจำตน
หมองหม่นกวาดเก็บเศษแก้วร้าว

ฉันจึงเตือนตัวเองทั้งน้ำตา
ที่คิดว่ามีดาริกาอยู่กลางหาว
และฉันเป็นมงกุฏเพชรประดับดาว
เปล่า...ฉันสำคัญผิดไป

ที่เธอเผลอไผลให้ฉันมา
ใช่ดวงแก้วดาริกาก็หาไม่
อนิจจา..
แม้ขณะกวาดขยะให้พ้นไป
คมเศษแก้วยังบาดใจให้เจ็บร้าว

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

Even if it kills me- I’m going to smile

"I'm going to smile and make you think I'm happy,
I’m going to laugh, so you don’t see me cry,
I’m going to let you go in style,
and even if it kills me- I’m going to smile"

วันพุธที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2551

สวนที่สวยนั้นต้องการความทมิฬในหัวใจอย่างไม่น่าเชื่อ

"คุณไม่เชื่อเลยเหรอว่าผมจะคิดถึงคุณ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะสุข หรือทุกข์ คุณจะอยู่ในใจผมเสมอ คุณจะเชื่อหรือเปล่าว่า แม้ผมจะไม่โทรหาคุณ แม้เราจะไม่พบกัน แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่คิดถึงกัน" ฉันหัวเราะเสียงดังทีเดียวเมื่อเธอพูดประโยคนี้

"เวลาคุณจุดธูปบอกคนที่ตายไปแล้วว่า คุณนึกถึงเขาอยู่เสมอ คุณเอาอาหารที่เขาชอบใส่ถาดไปวัด เอาพระมาสวด กรวดน้ำ แล้วคุณก็สบายใจว่า คุณได้ทำอะไรบางอย่างแก่คนที่ไม่มีอยู่ในโลกของคุณอีกต่อไป ทั้งหมดนี้ คุณไม่ได้ทำเพื่อคนตาย แต่คุณทำลงไปเพื่อตัวคุณเองที่ยังมีลมหายใจ ทำเพื่อไถ่โทษ ทำเพื่อให้รู้สึกผิดน้อยลง เหมือนกันกับที่คุณบอกฉันว่า "เชื่อเถอะ ว่าผมคิดถึงคุณ" บอกตามตรงว่าฉันไม่เชื่อ ถ้าคิดถึงฉันก็โทรมา ขับรถมาหา อย่าทำแค่จุดธูปแล้วนั่งภาวนาอยู่กับบ้านเพียงจะซื้อความรู้สึกผิดทิ้ง"

...
...
ลมแล้งใบดกหนาจนมองไม่เห็นรูปทรงของลำต้น และฉันก็ลังเลที่จะเล็มใบที่แตกเป็นพุ่มนั้นออกเสียบ้าง ด้วยนึกถึงยามที่มันแร้นแค้น และถูกหนอนกัดกินเสียจนไม่มีโอกาสเติบโต เถาของเงินไหลมาก็ขึ้นคลุมหางนกยูงเสียจนเสียสง่าราศี กระนั้ มันก็ช่วยรักษาความชื้นที่โคนต้น และหางนกยูงที่พิกลพิกาลก็มีอาหารดีขึ้นตามลำดับ

"ไม่ตัดใบทิ้งเสียบ้างจะไม่เห็นดอกนะ"

ฉันตัดใบลมแล้งที่อยู่เรี่ยพื้นทิ้งเสียมากมาย จนเริ่มเห็นทรวดทรงงดงามของมัน ใบที่ถูกตัดทิ้งอาจก่นด่าและน้อยใจ "ทำไมถึงเป็นฉัน ทำไมไม่เป็นอีกใบหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ ฉัน ทำไมไม่เป็นอีกใบหนึ่งที่อยู่ข้างบนฉัน" ใช่บางทีเราก็ตั้งคำถามกับตัวเองอย่างนี้ "ทำไมถึงเป็นฉันที่เธอเลือกจะตัดออกไปจากชีวิต"

เถาเงินไหลมาก็ถูกทึ้งถอนออกไปเกือบครึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป และเมื่อหางนกยูงยืนอยู่ได้ด้วยตนเอง เถาเงินไหลมาก็หมดหน้าที่ และสร้างความรำคาญตาเกินกว่าจะปล่อยให้มันเติบโตต่อไปไร้การควบคุม

สวนที่สวยนั้นต้องการความทมิฬในหัวใจอย่างไม่น่าเชื่อ

(ลมแล้งฤดูร้อน ของฮิมิโตะ ณ เกียวโต นิตยสารอิมเมจ ต.ค. ๕๑)

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ใจในร่างกายกลับไม่เจอ

เหตุใดจึงยึดเหตุการณ์ที่เกิดเมื่อปีที่แล้วเพียงปีเดียว เดี๋ยวเดียว เป็นหลักที่จะดำเนินชีวิตต่อไปข้างหน้า ซึ่งยังมีอีกยาวไกล

ขอให้หนูหวนไปคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาตลอด ก่อนจะถึงปีที่แล้ว ว่าหนูมีความสุขเพียงใด เคยทุกข์เคยเบลออย่างนี้มั้ย

สิ่งใดที่ทำลงไปแล้วมีความสุขสบายใจ แสดงว่าสิ่งนั้นเป็นกรรมดี สิ่งใดที่ทำลงไปแล้ว นำความทุข์วุ่นวายมาให้ทั้งกายและใจ ให้คิดว่าสิ่งนั้นเป็นกรรมไม่ดี

Life is too short to wake up with regrets.
Love your husband, who treats you right.
Forget about the ones who don't.

วันอาทิตย์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ตราบจนบัดนี้

Even Now ร้องโดย Barry Manilow

ตราบจนบัดนี้
แม้เมื่อมีใครคอยห่วง
เมื่อมีใครบางคนรอเพียงฉันอยู่ที่บ้าน
ตราบจนบัดนี้..ฉันยังคิดถึงเธอขณะเดินขึ้นบันได
และสงสัยว่าจะทำอย่างไรเพื่อที่เขาจะได้ไม่เห็น...
ว่าตราบจนบัดนี้
ขณะที่ฉันรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง
และฉันได้พบชีวิตที่ดียิ่งกว่าที่เราเคยมี
ตราบจนบัดนี้ ฉันยังคงตื่นขึ้นมาร้องไห้กลางดึก
และไม่อยากเชื่อเลยว่ามันยังคงเจ็บมากเหลือเกิน

ตราบจนบัดนี้ แม้เมื่อฉันมาไกลแล้ว
ฉันยังพะวงหาว่าเธออยู่ที่ไหน
ยังคงอัศจรรย์ใจ..ว่าทำไมเมื่อไม่มีเธอ ทุกอย่างช่างยากเย็นนัก
ตราบจนบัดนี้ เมื่อฉันก้าวไปอย่างเปล่งประกาย
สาบานได้ว่ายังนึกถึงเธอ
และอยากให้เธอรู้เหลือเกิน
ตราบจนบัดนี้

ตราบจนบัดนี้
แม้เมื่อฉันไม่ได้ยินชื่อของเธอ
และโลกก็เปลี่ยนแปลงไปมากมายนับตั้งแต่เธอจากไป
ตราบจนบัดนี้ ฉันยังคงจำได้ และความรู้สึกยังคงเป็นเช่นเดิม
และความเจ็บปวดข้างในฉัน..ยังดำเนินต่อไป..ต่อไป
ตราบจนบัดนี้

Even Now
when there's someone else who cares
when there's someone home who's waiting just for me
even now I think about you as I'm climbing up the stairs
and I wonder what to do so she won't see
that even now
when I know it wasn't right
and I found a better life than what we had
even now I wakeup crying in the middle of the night
and I can't believe it still could hurt so bad

CHORUS:
even now
when I have come so far
I wonder where you are
I wonder why it's still so hard without you
even now
when I come shining through
I swear I think of you and how I wish you knew
even now

even now
when I never hear your name
and the world has changed so much since you been gone
even now
I still remember and the feeling's still the same
and this pain inside of me goes on and on
even now

มันคือทั้งหมดในวันหนึ่ง เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต

สำหรับเธอ
มันก็แค่ทั้งหมดในวันหนึ่ง
วันหนึ่งของชีวิต
มันคือทั้งหมดในคำนั้น
คำนั้นคือ..ลาก่อน

สำหรับฉัน
มันคือทั้งหมดที่เธอกล่าว
เธอพยายามจะเมตตา
มันคือทั้งหมดในถ้อยคำ
จากริมฝีปากที่เคยสัมผัสปากของฉัน..ด้วยการทอดถอนใจ
ลาก่อน

สำหรับเธอ
มันคือทั้งหมดในใบหน้า
เสียงหัวเราะและริ้วรอยกังวล
มันคือทั้งหมดในคำพูด
ที่เธอหวังว่าจะทำให้เธออ่อนเยาว์ลงอีกครั้ง
ลาก่อน

มันคือทั้งหมดในบทละคร
ใครบางคนเอ่ยบทพูด
มันคือทั้งหมดในคำหนึ่ง
ซึ่งหยุด..และขโมยเวลา
ลาก่อน
ลาก่อน
ลาก่อน

สำหรับฉัน
มันคือทั้งหมดในวันหนึ่ง
เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
คือทั้งหมดในหนึ่งคำ
แด่โชคชะตาและสถานการณ์อันถอดถอน
ลาก่อน

It's all in the words from the lips that once touched mine

For you
It's all in a day
One day in a life
It's all in the one word
The one word is goodbye

For me
It's all in what you say
You've tried to be kind
It's all in the words
From the lips that once touched mine with a sigh
Goodbye

For you
It's all in your face
The laugh and worry lines
It's all in the word
You hope will make you young again
Goodbye

It's all in the play
Someone speaks the line
It's all in the one word
That stops and steals the time
Goodbye
Goodbye
Goodbye

For me
It's all in a day
It's the part in life
It's all in the word
To fate and circumstance resigned
Goodbye

(Goodbye, Tracy Chapman)

ความเศร้าในชีวิต

สวัสดีความเศร้า
สวัสดีความว้าเหว่
ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตฉัน

ยังไม่รู้เลยว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปกับพวกเธออย่างไร

วันศุกร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อาการป่วยไข้

เมื่อความป่วยไข้มาเยือน
ร่างกายจึงไร้เรี่ยวแรง เมื่อจิตใจไร้พลังงาน
การเดินทางหรือ..ช่วยเยียวยาจิตใจ? ไม่ใช่เลย แต่บั่นทอนร่างกายให้อ่อนแอลง

กลับจากเดินทางลงใต้ แล้วขึ้นเหนือ
ระดูมาพอดี จึงล้มป่วย
ปวดท้องมาก ๆ ทั้งที่ไม่ค่อยปวด
ตั้งใจว่าจะเก็บของเพื่อย้ายบ้านในวันหยุดนี้
แต่แล้วทั้งแรงกายและแรงใจจึงไม่เหลือ
ฉันจึงนอนซมอย่างไร้เรี่ยวแรง
ใจก็กังวลถึงงานที่ต้องทำให้เสร็จ

สามีบอกเงียบ ๆ ว่า..ยังไม่ต้องไปหรอก..
พักให้หายก่อน
ฉันจึงนอนน้ำตาไหล จนหลับไป..

วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หัวใจเจ็บแต่เช้า

ตื่นเช้ามาก็เจ็บ
เสียใจไม่เลิก ไม่หาย
ถึงจะคอยบอกตัวเองว่าจะรู้สึกอะไรไปทำไม
วันนี้เธอไม่รักฉันแล้ว

(อืมม์ ปีที่ผ่านมาไร้ความหมาย
อดีตเธอจะรักหรือไม่ วันนี้ไม่สำคัญ
เพราะวันนี้ไม่รักแล้ว)

แต่มันเสียใจมากจัง

ไม่รักกันก็ไม่ห่วงไม่คิดถึงจะดีกว่าไหม
เพราะมันทำให้เสียใจมาก

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อาลัยรัก

ฉันโหยหาอ้อมกอดใคร
ฉันอาลัยรักของใคร
ที่ไม่ใช่ของคู่ชีวิต
ผู้นอนอยู่ข้างเคียง
บนเตียงสมรส

วันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2551

อาลัยรัก..

ฉันหลั่งน้ำตา
ทุกคืน
คิดถึงคนรัก
อาลัยรัก
หวนคะนึงถึงอ้อมกอด
อนิจจา
เยื่อใยปรารถนาที่ตัดไม่ขาด
ฉันโอบกอดตัวเองทุกคืน
หลับตาฝันถึงเสน่หาที่ไม่อาจได้มาในความเป็นจริง
ปรารถนาอันรวดร้าว
ทอดถอนใจไปพร้อมกับเสียงสะอื้น
และหลับไปกับน้ำตา
ทุกคืน
บนเตียงสมรส..

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2551

เตือนสติ

หนูทำบุญด้วยอะไร ถึงได้สามี ดีอย่างนี้ ดีจนภรรยาไม่เห็นคุณค่า เห็นผู้หญิงที่ไม่ถนัดเรื่องรัก ถนัดแต่เรื่องเซ็กส์ดีกว่า เห็นผู้หญิงที่นอนกับคนที่ไม่รักก็ได้ดีกว่า

แฟนคือคนที่เรารัก ชอบ อาจนอนหรือไม่นอนด้วยกันก็ได้ สามีคือคนที่เราตกลงปลงใจแต่งงานด้วย ถูกต้องตามกฎหมาย มีสิทธิ์ที่จะมีเซ็กส์กับเราได้ตามกฎหมาย เธอบอกให้หนูเลิกนอนกับสามี เพราะเธอหวง เธอทำอย่างนั้นไม่ได้ สถานภาพและสิทธิ์ของเธอไม่เหมือนกับสามีของหนู หนูห้ามเธอไม่ให้นอนกับผู้หญิงคนนั้นหรือกับผู้หญิงคนอื่นๆ ได้หรือเปล่า ไปเชียงใหม่ หนูยังเป็นบุคคลที่สามในบ้านของเธอ

หนูต้องเอาชนะใจที่ดิ่งลง จมในความหลงออกมาให้ได้ ถ้าหนูไม่รักสามี ไม่อยากอยู่กับเขา จงกล้าหาญ เลิกออกมา และ ให้อิสรภาพสามีที่จะไปมีคนอื่น ที่รักเขา และดูแลเขา ไม่ปันใจให้คนอื่นอย่างหนู แต่หนูไม่กล้าทำ เพราะหนูรักตัวเอง รักความสุข ความอบอุ่น ความใจดี มีน้ำใจที่สามีมอบให้ โดนหนูตอบแทนเขากลับไปน้อยมาก

ตอบแทนด้วยความไม่รัก ไม่สเน่หา ด้วยการขอเลิก ด้วยการจะไม่นอนกับเขา แต่จะนอนกับผู้หญิงคนอื่น ที่บังอาจห้ามภรรยาไม่ให้นอนกับสามีที่ตกแต่งกันตามกฎหมาย โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่ได้รักเดียวใจเดียวกับหนู พี่เห็นด้วยกับสามีของหนูว่า หนูทำได้ทั้งสองทาง คือเลิกกับสามี หรืออยู่กันแบบเพื่อนแบบที่สามีบอก ซึ่งไม่แฟร์กับเขา ผู้ชายดีๆอย่างเขา น่าจะมีเมียที่ทะนุถนอมเขานะคะ ถ้าจะอยู่กับเขา ก็อยู่ให้ครบ เพื่อความสุขของเขาด้วย ไม่ใช่ความสุขของเราคนเดียว

ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้รักหนูจริงจัง เขารักคนอื่นแล้ว แต่เขามีเซ็กส์กับหนูได้ เพราะนั่นเป็นความสามารถเฉพาะตัวของเขา

สามีก็ยังอุตส่าห์ห่วงว่า ไปจากเขา แล้วใครจะดูแลหนู คนเราจะเอาทุกอย่างไม่ได้ จะให้คนอื่นเป็นฝ่ายเสียสละเพื่อเราอยู่ข้างเดียวไม่ได้หนูจะให้สามี ให้ ให้ และ ให้ อยู่ข้างเดียว (เหมือนเดิมทุกอย่าง) แต่หนูไม่ให้ตอบ ไม่ให้รัก ไม่ให้สเน่หา (เหมือนที่เป็นมา)

พี่ว่าเห็นแก่ตัวนะคะ ใจดำอีกต่างหาก คนสวยอย่าใจดำนะคะ ต้องกล้าหาญ กล้าเลือก กล้าเสียสละเพื่อคนที่ดีกับเรามาก ๆ ความเป็นผู้ใหญ่ของเรา วุฒิภาวะของเรา คือการเสียสละเพื่อคนที่ดีกับเราได้

ถ้าทำไม่ได้ พี่ขอแนะนำ ทางใครทางมันค่ะ ยุติธรรมกับทุกฝ่าย

พี่เป็นกำลังใจให้นะคะ

วันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วันนี้หัวใจยังเจ็บ

วันนี้หัวใจมันเจ็บ
ฉันรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ที่เมื่อเอามือแตะตรงหน้าอก รู้สึกได้ถึงความเจ็บ
ปวดแปลบ
มันเจ็บจังเลย
อยากร้องไห้จังเลย
ได้รู้แล้วว่า บางทีที่คนเราเจ็บ
มันเจ็บจริงๆ อย่างนี้
เจ็บอย่างนี้
อยากร้องไห้..อย่างนี้

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ลึกลึกแล้ว ไพวรินทร์ ขาวงาม

ลึกลึกแล้ว-ไพวรินทร์ ขาวงาม

ลึกลึกแล้วเธอเศร้า
ยังเก็บงำความเหงาไว้เงียบสงบ
แต่วงแก้วแห่งแววตาคราฉันพบ
ลำแสงเศร้าในเงาพลบก็ส่องเธอ

ลึกลึกแล้วเธอร้องไห้
ซ่อนรอยยิ้มพิมพ์ในใบหน้าเสนอ
หนึ่งธารน้ำซึ่งใจเธอค้นเจอ
คือธารน้อยนิ่งเอ่อในห้วงใจ

ลึกลึกแล้วเธอขลาด
ด้วยฉายแววเผลอหวาดระแวงไหว
แม้ประตูถูกปิดมิดชิดไว้
เสียงลี้ลับภายในก็กังวาน

ลึกลึกแล้วเธออ่อนแอ
หากไม่พร้อมยอมแพ้ในทางผ่าน
ยังหยัดเงียบเรียบง่ายในการงาน
ยังสะสมแก่นสาร เดินทางไกล

ฉันอาจผิดที่คิดว่า
จะเก็บดวงดาริกาให้เธอได้
จะซับหยาดน้ำเศร้า จะเข้าใจ
จะปลูกมวลดอกไม้ในสวนมวล

จะอยู่แกร่งแข็งกว่าหินผาอยู่
จะฉ่ำพรมกว่าลมรู้ฤดูหวน
จะมั่นคงในค่าที่ว่าควร
จะเป็นหนึ่งในจำนวนมิอาจนับ

อนิจจา ชีวีที่เคลื่อนไหว
สิ่งที่จับต้องได้ก็แตกดับ
สิ่งที่เป็นเพียงฝันก็ล่องลับ
สะดุ้งตื่นขึ้นจากหลับด้วยฝันร้าย

ฉันรู้สึกผิดบาป สารภาพว่า
ฉันเผลอให้ดาริกานั้นตกหาย
ฉันเฉยเมย ละเลยน้ำตา ที่หยาดพราย
และอับจนถึงต้องขายดอกไม้ไป

เป็นหินผาที่เศร้าโศก
เป็นสายลมห่มโลกที่ป่วยไข้
มีคุณค่าสักธุลีก็ลี้ไกล
มีนิ่มเนื้อก็ซ่อนในเกราะกำบัง

เกราะกำบัง ฉันสร้างจากความขลาด
ยอมให้เหล็กแข็งคาดนั้นกักขัง
เพื่อปลอดภัยในกำแพงแห่งความชัง
และเสรีในรวงรังเฉพาะตน

ฟังสิ ความเงียบใคร
เปลี่ยวชำแรกแทรกไปในทุกหน
อึกทึกกึกก้องทั้งมณฑล
สะท้อนใจไหวเสียจนระทึกใจ

ถ้าเธอถามฉันว่า
จะเก็บดวงดาริกามาอีกไหม
คงต้องตอบเธอว่า – ฟ้านั้นไกล
ฉันมิเคยก้าวไปพ้นตัวเอง

ลึกลึกแล้ว ฉันรู้สึก
ว่าชีวิตลึกลึกถูกข่มเหง
จะวุ่นวาย อ้างว้าง จะวังเวง
จะขับเพลงสักเพลงยังผิดใจ

ฟังสิ นี่คำสารภาพ
ผิดทุกผิด บาปทุกบาป หรืออาจไถ่
แอบฝันตามแววตาเธอคราใด
ฉันก็แล้งเกินไป จะลึกซึ้งฯ

ไพวรินทร์ ขาวงาม แต่ง ๒๕๓๐ รวมเล่ม ฤดีกาล ๒๕๓๒

วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551

ความเหงา

ความเหงาไม่ใช่การที่ไม่มีคนรัก
แต่ความเหงาคือการไม่มีใครให้คิดถึง

ความเหงาไม่ใช่การที่ต้องอยู่คนเดียว
แต่ความเหงาคือความลังเลไม่แน่ใจ
ว่าเรา..อยู่คนเดียว..หรือไม่

ความเหงาไม่ใช่การไม่มีใครให้พูดคุย
แต่ความเหงาคือ..เราจะพูดคุยกับใคร ดีหรือไม่

ความเหงาคือความห่างไกล
และความไม่แน่ใจ
และไม่รู้

วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2551

คิดถึงเจ้าหญิงแสนสวย
















เจ้าหญิงสวยที่สุด
น่ารักที่สุด
เป็นความอ่อนหวาน
เป็นความมั่นคง เป็นความอดทน
เป็นน้ำอมฤตหล่อเลี้ยงหัวใจฉัน

ฉันคิดถึงเจ้าหญิง

อ้อมกอดเธอแสนมหัศจรรย์..

ทำไมอ้อมกอด..
ถึงทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี
ทำให้เมฆหมอกคลี่คลาย

ทำไมอ้อมกอด..
ถึงทำให้ดอกไม้บานได้
แม้ในยามกลางคืนที่ไร้แสง

ทำไมอ้อมกอด..
ถึงให้ได้ทุกอย่าง
ทั้งกำลังใจและความหวัง

ทำไมอ้อมกอด..
ถึงทำให้ฉันมั่นใจ
ในความรัก
อีกครั้ง
และทุกครั้ง

วันจันทร์ที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2551

LETTING GO TAKES LOVE

To let go does not mean to stop caring,
it means I can't do it for someone else.

To let go is not to cut myself off,
it's the realization I can't control another.

To let go is not to enable,
but allow learning from natural consequences.

To let go is to admit powerlessness,
which means the outcome is not in my hands.

To let go is not to try to change or blame another,
it's to make the most of myself.

To let go is not to care for,
but to care about.

To let go is not to fix,
but to be supportive.

To let go is not to judge,
but to allow another to be a human being.

To let go is not to be in the middle arranging all the outcomes,
but to allow others to affect their destinies.

To let go is not to be protective,
it's to permit another to face reality.

To let go is not to deny,
but to accept.

To let go is not to nag, scold or argue,
but instead to search out my own shortcomings and correct them.

To let go is not to adjust everything to my desires,
but to take each day as it comes and cherish myself in it.

To let go is not to criticize or regulate anybody,
but to try to become what I dream I can be.

To let go is not to regret the past,
but to grow and live for the future.

To let go is to fear less and love more.

------ author unknown

เพราะรักจึงต้องปล่อยมือ

เพราะรักเธอ จึงต้องปล่อยมือเธอ
เพราะเข้าใจว่าไม่เข้าใจ...จึงต้องปล่อยมือ
บัดนี้ชีวิตของฉันที่เคยแบนเรียบเหมือนแผ่นกระดาษ
มีโค้ง มน มีมิติ มีรอยยับและฉีกขาด
ฉันจึงเข้าใจ ว่านี่แหละคือชีวิต
ฉันจึงเข้าใจว่า นี่แหละคือความรัก
(หรือเปล่านะ?)

เพราะอยากอยู่ใกล้ชิด จึงต้องถอยห่างออก
เพราะอยากก้าวเข้าไปอีกนิด จึงต้องถอยหลังอีกก้าว
เพราะรักเธอ (มั้ง)
จึงต้องปล่อยมือเธอ
เพราะไม่เข้าใจรัก ไม่เข้าใจโลก (มั้ง)
จึงต้องปล่อยมือเธอ

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ความห่างไกล

ความห่างไกลทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องยาก
ทำให้เรื่องดีกลายเป็นเรื่องร้าย
ทำให้คนอ่อนแอ ลังเล ไม่ไว้วางใจ และท้อแท้ใจ
ทำให้ไม่มีอ้อมกอด
ซึ่งบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรทดแทนได้
ทำให้ไม่มีคนเคียงข้างในยามที่สิ้นหวัง
ความห่างไกลทำให้มองไม่เห็น
ในยามห่างไกล อาจได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
แต่เพราะห่างไกลจึงมองไม่เห็นความสิ้นหวังเมื่อร้องขอความช่วยเหลือ
ว่าต้องการความช่วยเหลือนั้น..เดี๋ยวนี้ วินาทีนี้
ความห่างไกล
ทำให้เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ชั่วข้ามคืนทุกอย่างก็ผ่านไปเลย
ย้อนกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีก
ความห่างไกลทำให้มีคำถาม
อย่างน้อยก็ถามว่า เธออยู่เคียงข้างฉันไหม
ณ ขณะนี้ วินาทีนี้
ความห่างไกลทำให้ฉันไม่เห็นว่ามีข้อพิสูจน์
ว่าเธออยู่ข้างฉันไหม
ณ ขณะนี้ วินาทีนี้

เพื่อนรัก

ก่อนที่ชีวิตจะพลิกผันไปมาหลายตลบจนถึงวันนี้
บางวัน ตอนเช้ามืด
เมื่อฉันอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ ก่อนจะออกจากบ้าน ฉันจะมุดเข้าไปซุกตัวใต้ผ้าห่ม
หันหลังให้เขาที่นอนตะแคงอยู่ แล้วเขาก็จะยกแขนขึ้นมากอดฉันไว้จากด้านหลัง
โดยอัตโนมัติ ทั้งที่ยังไม่ตื่น
นี่เป็นช่วงเวลาเงียบ ๆ
เป็นช่วงเวลาเดียวของวัน ที่ฉันจะได้อยู่ใกล้ชิดกับสามีมากที่สุด
ลมหายใจเขาจะรดแผ่นหลังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ
เวลาผ่านไปสัก ๓๐ วินาที จนรู้สึกว่าร่างกายอุ่นขึ้น
แล้วฉันก็จะลุกไปทำงานต่อ ปล่อยให้เขานอนหลับต่อไปจนกว่าจะถึงเวลาตื่นของเขา

เมื่อฉันแตกเป็นเสี่ยงๆ
วันนี้ฉันลองทำแบบนั้นอีก
แล้วทุกอย่างก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม
เป็น ๑๕ วินาทีที่เงียบเชียบ
ปราศจากถ้อยคำ
ไม่ว่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นในชีวิตมากมายเพียงไร
ทุก ๆ วัน เขาจะหลับอยู่ตรงฝั่งขวาของเตียงเสมอ
ทุก ๆ วัน แขนของเขา
จะพลิกขึ้นมาโอบกอดฉันไว้เสมอ
โดยอัตโนมัติ แม้ในยามหลับ

วันอังคารที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เหนื่อย















วันนี้อยากกลับบ้าน
อยากกลับไปซุกอยู่ในอ้อมกอดของสถานที่ที่เรียกว่าบ้าน
อยากมีไหล่ใครเอาไว้พิง
ไหล่เพื่อนก็ได้..ไม่ต้องมีคำปลอบใจใดๆก็ได้ แค่ขอให้รู้สึกปลอดโปร่งสบายใจก็พอแล้ว
คนที่รักอยู่ห่างไกล เรามีความคาดหวัง
ในยามที่เราต้องการความช่วยเหลือจากเขาอย่างที่สุด
เขาไม่รู้ เพราะอยู่ห่างไกลเขาจึงไม่เห็น
เช่นเรากำลังจะจมน้ำ อย่างสิ้นหวัง เราบอกว่าอย่าเพิ่งไป ช่วยเราก่อน
แต่เขาไม่รู้ว่าเรากำลังจะจมน้ำ (เพราะเขาไม่เห็น)
ได้ยินแต่ว่าให้ช่วยเราก่อน
เขาเลยไม่ช่วย เพราะเขาไม่เห็น
เราก็เลยต้องช่วยตัวเอง ซึ่งมันก็ดีนะ เพราะเราทุกคนก็ต้องช่วยตัวเองอยู่แล้วหละ
แต่ถ้ามีบ้านให้กลับ
มีไหล่เพื่อนรักให้พักพิง
เราก็รู้สึกว่า..ชีวิตนี้ก็ดีพอแล้วเหมือนกันล่ะ

วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551

รักแรกพบ แต่ว่า...ไม่รักดีกว่า

แมวตัวนี้ พบหน้าปุ๊บก็รักมากๆ
เป็นแมวที่หน้าตาน่ารักน่าทะนุถนอมมากๆ
ได้ข่าวว่าเรียบร้อยและไม่ดื้อเลย
แต่ว่าแมวตัวนี้อยู่ไกลถึงเชียงใหม่โน่น
ทำให้ความรักเป็นรักที่เจ็บปวด (นิดๆ) เพราะคิดถึงก็จะไม่ได้เจอ
ไปหาก็ลำบาก มาหาก็ไม่ได้
ทำให้แมวต้องถูกคนอื่นเลี้ยง และไม่ได้เป็นแมวของเรา
แสดงว่า...เราไม่รักมันดีกว่ามั้ย
อืมม์
บ๋ายบายนะแมวน้อยของเรา เราจะคิดถึงเธอนะ
ขอให้เติบโตแข็งแรง มีความสุข และไม่ดื้อน่ะดีแล้ว
จุ๊บๆๆ (ในฝัน)
ปล. เราลองขอแล้วหละ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงแมวที่บ้าน
แต่ไม่เป็นไรนะ สักวันหนึ่ง เราจะมีแมวเป็นของตัวเอง (ที่อยากอยู่กับเรา)
T-T



วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คุณหนูของยาขอบ


กะทิ..เด็กบ้านนอกของแฟนจ๊ะ

ตอนนี้ก็บ่ายแก่แล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลงเป็นลำดับ ส่วนอาการปวดท้องของแฟนก็เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี ทำให้อาการคลุ้มคลั่งคุ้มดีคุ้มร้ายของแฟนก็พลอยบรรเทาเบาบางลงไปด้วยจ้ะ (เฮ้อ)

ตอนนี้ กะทิกำลังหน้าดำคร่ำเครียดปั่นงานอยู่ จึงสั่งห้ามไม่ให้แฟนรวบกวน ส่วนแฟนก็... อยากจะทักชวนคุยเล่นก็เกรงใจ เพราะถึงกะทิจะเป็นเด็กบ้านนอก แต่เด็กบ้านนอกเค้าก็จริงจังกับชีวิตเหมือนกัน.. และต้องทำมาหากินมีเดดไลน์ส่งงานเหมือนกันนะ ฮึ จะมามัวคุยเล่นอยู่กับแฟนได้ยังไง ใช่ไหมๆๆ

งั้นแฟนเล่าเรื่องสัพเพเหระให้กะทิฟังทางนี้ดีกว่านะ นะ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แล้วก็...ไม่รบกวนการทำงานของกะทิไง

แฟนอ่านหนังสือ “รักแท้ รวมเรื่องสั้นอันเป็นที่รักของยาขอบ” อยู่หลายวันกว่าจะจบ เพราะหนังสือมันหนามาก ๆ จึงไม่ได้หอบหิ้วติดตัวไปไหนมาไหนด้วย ได้แต่ทิ้งแหมะไว้ที่หัวนอน อ่านก่อนนอนทุกคืน มันถึงจบช้า หนังสือเล่มนี้ก็ดีนะจ๊ะ เด็กสำนวนโบราณๆ อย่างกะทิน่าจะชอบ มีเรื่องเพื่อนแพง (ที่เค้าเอามาทำเป็นหนัง) ด้วยนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวในเล่มนะ ที่สำนวนจะออกแนวลูกทุ่ง แล้วมีคนเอาไปเปรียบเทียบกับเรื่องของ “ไม้ เมืองเดิม” ด้วยนะ ว่าสำบัดสำนวนสูสี เข้าทำนอง ขิงก็รา ข่าก็แรง หรือ ท่านเป็นเจ้าป่า ส่วนข้าเป็นเจ้าถ้ำ (สำนวนนี้แฟนคิดเอง) ฯลฯ

อีกหลายเรื่องก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักในหลากหลายรูปแบบ เรื่องของแม่ม่าย เมียน้อย รักสามเส้า ดอกฟ้ากับหมาวัด ฯลฯ ก็ให้อารมณ์ย้อนยุคดีน่ะจ้ะ แฟนก็ไม่ได้ชอบทุกเรื่องหรอกนะ แต่ว่ามันมีอยู่เรื่องนึงที่อ่านแล้วอารมณ์หวานสดชื่นแตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ มาก แฟนขอแนะนำๆๆ ให้กะทิอ่าน (เพราะแฟนชอบๆๆ) เรื่องนั้นคือ “ชื่นจิตต์”

กะทิจ๊ะ เคยอ่าน “จดหมายรักของยาขอบ” แล้วใช่ไหม จำได้ราง ๆ ไหม จดหมายที่ยาขอบเขียนถึงผู้หญิงสาวที่เขารักและเทิดทูนอยู่ช่วงหนึ่ง ทั้งรัก ทั้งหวง ทั้งหลง และอยากทำให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้นๆ เพื่อให้ควรคู่กับหญิงที่เขารัก จากหนังสือเล่มนี้ แฟนถึงรู้ว่า ยาขอบก็เป็นนักเลงรุ่นเก่า มีนิสัย เกเร เจ้าชู้ (แบบชายชาตรี) อย่างที่นักเลงเก่าตัวจริงเขาเป็นกัน แล้วยาขอบเนี่ย ก็แอบชอบผู้หญิงที่เป็นแนวคุณหนูมาก ๆ (เหมือนใครนะ) และเวลานักเขียนพวกนี้เกิดความรู้สึกที่รักมาก และเทิดทูนมาก เขียนหนังสือออกมาก็..หือ...น้ำเน่าแต่ก็มีเสน่ห์แบบเชยๆ มากๆ เลยไงจ๊ะ

เรื่องสั้นเรื่องนี้ ยาขอบเขียน เป็นบันทึกของคุณหนูคนหนึ่ง ที่เริ่มเขียนไดอารี่เมื่อเกิดความรู้สึก “รักครั้งแรก” ขึ้นมาโดยที่ตัวเองก็ยังไม่รู้แน่แท้ว่ารู้สึกอย่างไร และความรักคืออะไร เนื่องจากชายผู้นั้นต่ำต้อยกว่าตน เธอจึงมีแอบเขียนไว้ด้วยนะว่า “ฉันจะรักเขาอย่างไรได้ ไม่ขอรักเป็นอันขาด”

ผู้ชายนั้นเป็นพนักงานบริษัทของ “ป๋า” ของเธอจึงมาทำงานที่บ้านทุกวัน ได้พบหน้าคุณหนูของบ้านก็หลงรัก ส่วนคุณหนูคนนี้ก็หวั่นไหว (แต่ปากแข็ง) เรื่องนี้ ยาขอบให้น้ำหอมกลิ่น “ชื่นจิตต์” ซึ่งเป็นน้ำหอมชั้นหนึ่งของลูบัง ห้างปรุงน้ำหอมชั้นที่หนึ่งของปารีสที่คุณหนูซื้อมาคราวเดียวหกขวด มาเป็นสื่อรักของคุณหนูกับธนู เมื่อความรักเริ่มบ่มเพาะ มีการต่อปากคำกันไปมา คุณหนูโกรธ ก็เลยแอบให้เด็กเอา “ชื่นจิตต์” ไปให้เขาเสียสองขวด “ประชดจังๆ เสียบ้างจะได้รู้สึกตัว” นั่น...คุณหนูมั้ยๆๆๆ

ไอเดียที่เอาน้ำหอม “ชื่นจิตต์” มาเป็นสื่อความรักนี้มันโรแมนติกแบบเชย ๆ ได้ใจจริง ๆ นะ แต่ละบทตอนนี่ เขียนได้โรแมนติกอย่างคลาสสิกชวนอึ้งจริงๆ เลย อย่างฉากหนึ่งเป็นตอนที่ป๋าไม่สบาย คุณหนูจึงต้องไปนั่งเฝ้าไข้ข้างเตียง แล้วคุณธนูต้องเอางานเข้ามาคุยกับป๋าเป็นครั้งคราว เมื่อชายหนุ่มตีหน้าขรึม เป็นการเป็นงาน คุณหนูก็ไปเอาขวดน้ำหอมชื่นจิตต์มาจากห้อง แล้วฉีดเป็นละอองข้ามตัวป๋าไปเพื่อเรียกความสนใจของเขาเสียอย่างงั้น!

แล้วชายหนุ่มตัดพ้อว่าอย่างไรรู้ไหม เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วบอกว่า “จะแกล้งกันไปถึงไหน วาสนาแกล้งผมมากอยู่แล้ว โปรดเถอะ อย่าพลอยแกล้งอีกแรงหนึ่งเลย”

อีกตอนหนึ่งที่คุณหนูเป็นฝ่ายตัดพ้อบ้าง แต่ว่า..แอบมาตัดพ้อโดยการเขียนไว้ในไดอารี่ว่า “เขาทีเดียวทำให้ฉันไม่สบาย จนปวดศีรษะตลอดมาถึงครึ่งวันนี่เข้าแล้ว”

“เมื่อวานนี้แท้ ๆ เขาหาความฉันว่าไปสอนให้เขารู้จักจดจำกลิ่นชื่นจิตต์ ก็แล้วคราวนี้ กลิ่นนั้นอบอวลอยู่ใกล้เขาแล้ว เขาต้องรู้ว่าใครกำลังจะผ่านเขาไป ควรหรือก้มหน้าเสีย ทำเป็นผูกเชือกรองเท้าอยู่ได้ ฉันอยากจะร้องไห้ และสงสัยว่าฉันลดถอยความสวยสดงดงามลงไปที่ตรงไหน ผู้ชายคนที่เคยมองด้วยสายตาที่แสนจะชื่นชม จึงเห็นฉันสำคัญน้อยกว่าเชือกผูกรองเท้าของเขาเสียแล้ว...”

อันนี้ที่แท้ก็คือ เมื่อคุณหนูเดินลงบันไดมา ผ่านโต๊ะทำงานเขา เขาไม่ยอมมองเอาแต่ก้มหน้าผูกเชือกรองเท้า ก็เลยน้อยใจจนแทบจะร้องไห้...และปวดหัวไปครึ่งค่อนวัน

ฮา (นิสัยใครหนอ คุ้น ๆ ไหมกะทิ)

ยาขอบเนี่ย เขียนถึงความไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ ของคุณหนูคนนี้ได้อย่างสมจริงมาก ๆ แฟนจึงเชื่อว่า ยาขอบจะต้องเคยมีแฟนเป็นคุณหนูจริงๆ และเคยหลงใหลคุณหนูมาก ๆ ด้วยจ้ะ อย่างนิสัยขี้หึงแบบนี้

“โปรดพูดกับฉันอย่างคนมีเกียรติยศพูด ธนูไม่เคยรักใครเลยหรือคะ?”
“เคยมามากหลาย แต่ไม่หนักแน่นแน่แท้เหมือนที่รักคุณมัลลิกา”
ฉันร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “ต๊าย-ตาย” แล้วก็โดยไม่ตั้งใจอีกนั่นแหละ ที่ถอยหลังออกมาห่างเขา ไม่รู้โมโหมาจากไหน ฉันอยากจะฉีกเนื้อเขาเสียเหลือเกิน

ฮา (นิสัย คุ้น ๆ อีกแล้วไหมจ๊ะ ฮึ)

แต่ฝ่ายชายก็ยังทั้งรักทั้งเทิดทูนอยู่แบบนี้แหละจ้ะ

“อธิษฐานให้มัลลิกาแต่งงานไปเสียเร็ว ๆ กับผู้ชายที่รักคุณมากเหมือนผมรัก แต่ให้เขาดีกว่าผมร้อยเท่า เป็นคำอธิษฐานที่ขมขื่น แต่ผมก็ได้ทำให้ทุกคืนจริง ๆ ถ้าผมดีพอ ผมจะสวดเพื่อให้มัลลิกาเป็นของผม เพราะผมไม่เชื่อว่าในส่วนรัก จะมีผู้ชายคนไหนเคยรักผู้หญิงมากมายเหมือนที่ผมรักมัลลิกา”

อีกส่วนหนึ่งที่คิดว่ายาขอบเขียนได้น่ารักน่าเอ็นดู ก็เพราะว่า เขาเขียนให้คุณหนู แม้ว่าจะอกหัก คร่ำครวญ ตัดพ้อ เศร้าสร้อย ก็ยังดำรงชุดความคิดแบบคุณหนูๆ อยู่ดีแหละ ดูอย่างคำพูดต่อไปนี้สิจ๊ะ แฟนคิดว่า มันทั้งน่าเอ็นดูและทั้งขำไปพร้อม ๆ กัน

“เขาต้องคิดไม่ต่างกับที่ฉันคิด โธ่เอ๋ย ฉันสงสารเขายิ่งกว่าสงสารตัวเอง เพราะเขาน่าสงสารยิ่งกว่าฉันมาก ฉันหงอยอย่างพระจันทร์ แต่เขาคงขวัญเสียอย่างกระต่าย เคราะห์ดีที่เป็นกระต่ายฉลาดอยู่บ้าง รู้จักซ่อนหน้า เมื่อรู้ตัวว่าต้องตรมตรอมเพราะแสงจันทร์นั้น”

“เมื่อผู้ชายที่มั่งมีศรีสุขทอดสนิทเข้ามา โดยเอาความภาคภูมิของเขาเป็นเดิมพันนั้น เราอาจไว้ตัวในความเป็นสาวงามของเรา แต่ครั้นผู้ชายจน ๆ บังอาจเข้ามาบ้าง ชูหัวใจดวงเดียวของเขาเข้ามาเป็นเดิมพันนั่นสิ ชั้นแรกเราอาจโดดถอยออกไปหลายก้าว เพราะขยะแขยงต่อความจน แต่ถึงแม้โดดถอยออกไปแล้วไกลแสนไกล รัศมีอันสุกใสของดวงใจที่ซื่อตรงก็ยังฉายประกายแวววับไว้ให้เห็น เหมือนแสงเพชรที่ตกอยู่เหนือตม”

แล้วที่ยิ่งขำขึ้นไปอีก ก็คือตอนที่คุณหนูได้รู้รส “จูบแรก” จากชายผู้เป็นที่รัก หลังจากที่ได้ยืนชมจันทร์เคียงกันยามค่ำคืน จากนั้น ก็มาเขียนลงไดอารี่ว่า

“เพลงอะไรไม่รู้ จำได้แต่เพียงเนื้อร้องเลา ๆ ว่า “ถ้าตัวน้องเป็นชาย พ่อพลายเป็นสตรี ค่ำ ๆ วันนี้จะไปแนบให้หนำใจ” เนื้อร้องตอนนี้ ครั้งโน้น ทำให้ฉันดูหมิ่นแม่ศรีมาลานัก ว่าจิตใจแกหาสมเป็นกุลสตรีหรือลูกสาวเจ้าบ้านผ่านเมืองชั้นพระพิจิตรไม่ ที่คร่ำครวญถึงพลายงามอย่างน่าอับอายขายหน้า แต่เดี๋ยวนี้ ฉันไม่อาจดูหมิ่นลูกสาวพระพิจิตรแล้ว เพราะความจริงช่วยให้เกิดสำนึกว่า แม่ศรีมาลาจะคิดเห็นเช่นนั้นบ้างก็สมควรอยู่ ถ้าเป็นคืนที่อย่างอื่นเงียบ ระงมแต่เสียงแมลง แล้วพระจันทร์ก็ทอแสงอร่ามงามเช่นคืนวันนี้”

ในที่สุด คุณหนูก็แพ้พ่ายแก่ความรักและความปรารถนาเหมือนกับผู้หญิงทุกคนแบบนี้แหละจ้ะ เฮ้อ

อ้อ ลืมบอกไป เรื่องสั้นนี้จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งด้วย อ่านแล้วสนุกน่ารักดีนะจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ฤดูกาลของสาวส้ม

นี่ฉันอยู่กรุงเทพฯ ติด ๆ กันมาเข้าอาทิตย์ที่สามแล้ว อยากจะบอกว่ามีความสุขมาก ๆ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ๑. ได้ไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทำให้มีกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นมาบ้าง ๒. ได้สะสางงานเอกสารไปได้มากมาย จนบัดนี้ งานที่ค้างอยู่ก็น้อยลง ๆ ๓. ได้จัดบ้าน รวมถึงตู้เสื้อผ้าและห้องทำงาน (ที่บ้าน) ได้เป็นระเบียบเรียบร้อย หยิบจับอะไรก็ง่ายและงามตา ทำให้วันเสาร์อาทิตย์ของฉันเป็นวันหยุดจริง ๆ แบบที่ชาวบ้านเขามีกัน

เมื่อมาเปิดดูรูปเก่า ๆ ที่ถ่ายไว้เวลาเดินทาง จึงได้เห็นว่า อืมม์...จุดหมายปลายทางแต่ละที่มันงามตามแบบของมันจริง ๆ นะ แต่ความงามของการเดินทางมักถูกความเหนื่อยล้า การต่อเครื่องบิน การตกเครื่องบิน การอดนอน และการรื้อกระเป๋าซักผ้า ฯลฯ บดบังจนหมดสิ้น

ช่วงเวลาโปร่ง ๆ ที่ได้อยู่กับที่แบบนี้แหละจ้ะ ทำให้ตาสว่างมองเห็นความงามของการเดินทางขึ้นมาทันใด จึงเลือกรูปที่ถ่ายไว้เล่น ๆ จากทริปมาอวดเธอ

เกียวโต เดือนพฤศจิกายน ปี ๒๐๐๖

เคยมีเพื่อนฝรั่งบอกว่า เมื่อมาอยู่เมืองไทยสักพัก สิ่งที่รู้สึกว่าขาดหายไปและคิดถึงก็คือ “ฤดูกาล” เพราะเมืองไทยนั้นร้อน แดดออก ภูมิอากาศเป็นแบบเดิม ๆ และป่าเขียวครึ้มตลอดปีตลอดชาติ (หากเป็นป่าคอนกรีตก็จะเป็นสีเทาบวกแสงสีนีออนตลอดปีตลอดชาติ)

ประเทศที่มีฤดูกาลนั้น ถ้าเป็นฤดูหนาวก็จะขาวโพลน พอฤดูใบไม้ผลิดอกไม้ก็จะบานแข่งกัน ถ้าเป็นสวนซากุระก็จะชมพูพราว หากเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ก็จะม่วงไสวไปสุดลูกหูลูกตา หรือไม่ก็เหลืองละออ หรือไม่ก็อาจจะเป็นดอกไม้เล็กใหญ่หลากหลายสีสันแบบในสวนกอเกินฮอฟ พอเข้าฤดูใบไม้ร่วง ไม้ก็จะเตรียมสลัดใบกลายเป็นสีโทนเหลือง ส้ม.. สีสันของฤดูกาลเหล่านี้ส่งอิทธิพลต่อสีสันของเสื้อผ้าในแต่ละซีซั่นด้วยไง

เกียวโตในฤดูใบไม้ร่วงนี้จึงเป็นฤดูที่เหมาะสมกับสาวส้มที่สุด ก็เพราะใบไม้มันจะกลายเป็นสีออกโทนเหลืองและส้มกันหมดไงจ๊ะ อากาศก็เย็น ๆ ใส่เสื้อหนาวให้อุ่น ๆ เดินดูใบไม้ร่วง หรือที่ยังเหลืองก่ำส้มก่ำคาต้น พอเหนื่อยก็แวะนั่งพัก กินขนมหรือกินน้ำชากาแฟอุ่น ๆ ก็สบายใจดี

ฤดูนี้นอกจากเราจะไปตื่นตาตื่นใจแล้ว คนญี่ปุ่นเองเขาก็ยังฮิตไปท่องเที่ยวกันด้วย ตามวัดโบราณทั้งหลายในเกียวโต ช่วงฤดูใบไม้สุกก่ำแบบนี้ จึงมีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นไปเดินตื่นเต้นกับเราขวักไขว่ไปหมด ซึ่งมันก็ครึกครื้นไปอีกแบบนะจ๊ะ



ม่านรักที่บดบังดวงตา

ช่วงนี้พอว่างจากการเดินทางขึ้นมา ก็ได้ดูหนังเยอะแยะไปหมด รู้มั้ยจ๊ะ ว่าร้านขายหนังในกรุงเทพฯเดี๋ยวนี้เอาหนังต่างประเทศแปลกๆ มาลดราคากระหน่ำ ทำให้เวลาไปเดินเล่นในห้างที ก็หอบซื้อมาเก็บสะสมไว้ได้เยอะแยะ พอมีเวลาบ้าง ก็เอามาเปิดดูเสียทีหนึ่ง

เรื่องที่ดูแล้วชอบอีกเรื่องหนึ่งก็คือ The White Masai หรือเขียนเป็นภาษาเยอรมันว่า Die Weisse Massai เรื่องนี้เขาอ้างอิงมาจากชีวิตจริงของผู้หญิงชาวสวิสคนหนึ่งด้วยนะ ที่เขียนเป็นหนังสือออกมา (แต่หนังสือไม่ดังเท่าหนัง สงสัยเขียนไม่สนุก)

เรื่องของเรื่องก็คือ ผู้หญิงคนนี้เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศเคนยากับแฟนหนุ่มชาวสวิส ระหว่างท่องเที่ยวอยู่ ก็ดันไปเกิดรักแรกพบกับนักรบหนุ่มจากเผ่ามาไซ เป็นรักแรกพบหลังจากสบตากันปิ๊งเดียวบนดาดฟ้าเรือ เต้นรำด้วยกันอีกนิดหน่อย ในที่สุดก็ตัดสินใจทิ้งให้แฟนกลับประเทศไปคนเดียว

ส่วนตัวเธอน่ะหรือ อยู่ต่อเพื่อไปตามหาผู้ชายคนที่รัก หนุ่มคนนั้นชื่อว่าเลมาเลียน (ตามท้องเรื่อง) นั่งรถเมล์ข้ามคืนข้ามวันตั้งสองสามต่อ เดินข้ามเขาอีกเป็นลูกๆ แล้วในที่สุดก็ได้พบรัก ปักหลัก แต่งงานกับนักรบท้องถิ่น แต่ชีวิตการแต่งงานก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เราเห็นอยู่ว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ดูแล้วน่าจะขรุขระตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งมันก็เป็นจริงดังนั้นตามท้องเรื่อง

แต่ประเด็นคือผู้หญิงคนนี้รู้แต่แรกแล้วว่ามันจะไม่ง่าย แต่ก็ใจสู้ และสู้จนถึงที่สุด โดยเฉพาะดาราคนที่แสดงเป็นนางเอกนี้ทำให้เราดูเพลินมาก ไม่สวยมาก แต่หุ่นดี ดูดีเป็นธรรมชาติ แต่งตัวทะมัดทะแมงเหมาะสม มีดวงตาที่มุ่งมั่น บอกว่าจะสู้ก็สู้ พอถึงเวลาจะถอยก็ถอยอย่างเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นพอ ๆ กันเลย

หนังเรื่องดีดูสนุกดี เห็นฉากหลังตระการตาน่าอัศจรรย์ เห็นหญิงผมทองใส่เสื้อสายเดี่ยว สะพายกระเป๋าผ้าเดินหลงทางอยู่กลางตลาด เห็นเธอกอดจูบกับหนุ่มผิวดำมะเมื่อม นุ่งผ้าเตี่ยวและถืออาวุธประจำเผ่าติดกาย แล้วก็เธออีกนั่นแหละที่นั่งก่อกองฟืนชงชาบนพื้นทรายอยู่หน้ากระท่อม มันมีสีสันฉูดฉาดดีไม่หยอก

ผ่านสายตาของเธอ...ในภูมิประเทศอันสวยงาม เราได้เห็นประเพณีที่โหดร้าย เช่นการขลิบอวัยวะเพศของหญิงสาว การที่คนนิ่งดูดายไม่ช่วยคนกำลังจะตายเพราะหาว่าเธอเป็นปิศาจ หลังจากกัดฟันยอมรับและอดทนมาเรื่อย เมื่อเวลาผ่านไป ม่านของความรักที่ปิดบังดวงตาก็เริ่มคลี่ออก ให้เห็นความไม่เหมือน ให้เห็นความระแวง ความกลัว และความไม่สอดคล้อง แต่ก็ยังกัดฟันสู้ จนถึงวันที่ทั้งร่างกายและจิตใจมันบอกเองว่าไม่ไหวแล้ว จึงหนีจากความรักนั้นมา

สีหน้าและแววตาของนางเอกเรื่องนี้ติดตามาก ที่สำคัญ เราก็ยังเห็นด้วยกับเธอนะจ๊ะ ที่แม้จะรู้เป็นลางๆ ว่าความสัมพันธ์บางครั้งมันจะไม่เวิร์ค แต่ก็ให้โอกาสและอดทนปรับตัวจนถึงที่สุด เพราะเมื่อถึงที่สุดแล้ว การลาจากก็คงจะเป็นการจากที่ แน่ชัด ถาวร และหมดสิ้นข้อสงสัยใด ๆ

ไม่เชื่อก็ลองดูหน้าตาของเธอตอนหอบลูกจากสามีมาสิจ๊ะ

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สวยทุกชุดของ Shopgirl (สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว)

ชุดที่ใส่ไปทำงาน (ขายถุงมือในห้าง) หรือไปออกเดท หรือไปทานข้าวกับเพื่อน ก็เป็นกระโปรงทุกชุด มีทั้งแบบสีเรียบ ลายดอก ดูแล้วคุมโทนบุคลิกของมิราเบลได้อย่างดี พอมาคบกับเรย์ พอร์เตอร์ เธอจะมีชุดแบรนด์เนมที่ดูหรูขึ้น แต่ก็ยังคงบุคลิกเป็นสาวหวานไว้อยู่ดี ยกเว้นนิดนึงก็แต่ชุดในช่วงหลัง คือสมัยที่ย้ายไปทำงานที่แกลลอรี่กับสมัยที่เริ่มเป็นศิลปินที่มีงานแสดง ชุดของเธอจะออกโทนดำ และเฉี่ยวขึ้นนิดหนึ่ง

แต่ฉันก็ชอบหมดเลย เอ๊ะ คนเราดูหนังเพื่อดูอะไรกันแน่เนี่ย








































































Why don’t you love me!


ดู Shopgirl มา เป็นหนังที่น่ารักมาก พล็อตง่ายๆ คือ นางเอกชื่อมิราเบล เป็นหญิงสาวที่ขี้เหงาทำงานเป็นพนักงานขายถุงมือในห้างสรรพสินค้า มีชายหนุ่มถังแตกแถมยังนิสัยห่วยๆ คนหนึ่งมาติดพัน จากนั้นได้พบชายสูงวัยคราวพ่อมาติดพัน ซึ่งคนนี้ดูหรูกว่า รวยกว่า และมีรสนิยมนุ่มนวลกว่า จึงบอกลาชายหนุ่มหันมาคบชายสูงวัย หกเดือนผ่านไป พบว่าชายสูงวัยไม่ได้ต้องการมีความสัมพันธ์แบบผูกมัด จึงต้องร้างลาจากกัน พอดีที่ชายหนุ่มกลับคืนสู่เมืองมาพร้อมกับมาดใหม่ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น นุ่มนวลขึ้น และมีหลักมีฐานมากขึ้น มิราเบลจึงได้จังหวะหวนกลับไปรักกับชายหนุ่มคนนั้น

“ทำไมคุณไม่รักฉัน” ประโยคนี้นางเอกพูดขึ้นด้วยน้ำตานองหน้า ระหว่างที่มีสัมพันธ์รักอยู่กับชายสูงวัย เรย์ พอร์เตอร์ ตอนนั้นทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ ทั้ง ๆ ที่เขาก็ได้บอกแล้วว่า ไม่คิดจะผูกมัดจริงจังด้วย แต่เมื่อเขาเผลอเล่าออกมาว่าได้ไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นมา เธอก็ทำหน้าเหมือนถูกน้ำเย็นสาดลงโครมใหญ่ ลุกจากเตียงขึ้นมานั่งซบหน้าร้องไห้ แล้วสักพักก็เงยหน้าขึ้นมาถามเขา “ทำไมคุณไม่รักฉัน” แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่พึงพอใจ จึงแต่งตัวเดินออกจากบ้านงามๆ ของเขามา

ก่อนหน้านี้เคยซื้อหนังสือมาอ่าน เรื่องนี้เขียนโดย Steve Martin ซึ่งเป็นดารา แล้วพบว่าเขาก็เป็นนักเขียนที่ดีคนหนึ่ง พอมากลายเป็นหนัง ก็สตีฟ มาร์ตินนี่แหละที่เอามาทำเป็นหนัง แล้วก็เล่นเองเป็นเรย์ พอร์เตอร์ ชายสูงวัย ผมขาวโพลนเป็นหิมะ แต่ก็หล่อ เท่ เนี้ยบสมวัยทุกประการ ภาษาในหนังสือก็ง่าย ๆ เป็นสำนวนแบบผู้ชายเขียน เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวคนหนึ่งกับผู้ชายสองคน และทำให้เห็นว่าความรักมันก็เป็นเหมือนกับวงจร มีเริ่ม แล้วก็มีจบ แล้วก็มีเริ่มใหม่ได้

แถมทำให้เห็นด้วยนะว่าจังหวะเวลานั้นเป็นเรื่องสำคัญ คนเดิมในเวลาที่ไม่ใช่ มันก็..กลายเป็นคนที่ไม่ใช่ไปได้นะ แต่เวลาผ่านไปแค่หกเดือนเอง คนเดิมนี่แหละ กลายเป็นคนที่ใช่เสียละ ทำให้นึกถึงหนังสือภาพเล่มนั้น ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา ที่หนุ่มสาวขี้เหงาสองคนอยู่ห้องติดกัน แต่ไม่ได้เจอกันซะทีจนถึงวันดีๆ วันของมัน อืมม์ จริงด้วยหละ หนังเรื่องนี้ก็ให้อารมณ์แบบนั้นเปี๊ยบเลย

เราดูจบแล้วก็ต้องไปเปิดหนังสือตอนท้ายๆ อ่านอีกรอบหนึ่งว่ามันจบแบบเดียวกับหนังหรือเปล่า สรุปก็คือคล้ายๆ กัน ชอบนางเอกมากๆ เพราะแคลร์ เดนส์ เล่นเป็นมิราเบลได้เหมือนมาก น่ารักน่าทะนุถนอม ที่เราชอบก็คือ มิราเบลยอมรับความผิดหวังและเสียใจจากความรักไว้อย่างคนยอมรับความจริง แล้วก็เดินหน้าต่อไป แล้วก็เปิดโอกาสให้กับรักครั้งใหม่ แล้วก็..เป็นมิตรกับคนรักเก่า แล้วก็..มองโลกในแง่ดีเสมอและเปิดรับกับทุกอย่าง

คำตัดพ้อที่ว่า “ทำไมถึงไม่รักฉัน” จึงไม่ได้เป็นวาจาอมตะ ไม่ได้เป็นคำขู่ ไม่ได้เป็นคำกล่าวโทษ ไม่ได้เป็นคำอ้อนวอนร้องขอ เพื่อให้ได้ความรักมา แต่ว่า..เป็นแค่คำพูดที่ทำให้เราเห็นความอ่อนไหวเปราะบางของหญิงสาว แต่แล้ว..หญิงสาวก็เลือกที่จะรักตัวเองให้ได้มากที่สุด และปฏิบัติต่อชีวิตของตัวเองอย่างดีที่สุด นี่แหละๆ คือคำตอบเดียวสำหรับความรักอันอมตะ

ดูแล้วก็มีกำลังใจ อยากมองโลกในแง่ดี เห็นว่า อื้มม์ นี่แหละ ชีวิต ต้องรับมือกับมันให้ได้แบบนี้แหละ

แล้วที่สำคัญ นางเอกแต่งตัวงามมากๆ ใครหนอคิดหาชุดสวยๆ มาให้มิราเบลใส่ไปทำงาน ตามท้องเรื่องแล้ว มิราเบลไม่ใช่คนที่มีเงินมากนัก ดังนั้นชุดที่ใส่ก็น่าจะเป็นแนววินเทจ ยกเว้นในช่วงหลังที่มาคบกับเรย์ พอร์เตอร์ จึงได้ของกำนัลเป็นของแบรนด์เนมจากเขาบ้าง แต่ก็..สวยคลาสสิคไปเสียหมดเลย ทำให้เราเกิดอารมณ์แต่งชุดกระโปรงสไตล์อเมริกันคลาสสิคแบบน้องมิราเบลมาทำงานบ้างเลยหละ




วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2551

Love means never having to say you're sorry

“นี่ โอลิเวอร์ ฉันเคยบอกคุณหรือยังว่าฉันรักคุณ?” เธอถาม
“ไม่เคย เจน”
“ทำไมคุณไม่เห็นเคยถาม?”
“บอกตรงๆ นะ กลัว”
“งั้นก็ถามซะตอนนี้สิ”
“คุณรักผมไหม เจนนี?”
เธอมองหน้าผม และไม่ได้มีท่าทีเล่นลิ้นแม้แต่น้อย เมื่อถามกลับ
“คุณคิดว่าไงล่ะ?”
“คงรักมั้ง ผมว่า”
ผมจูบคอเธอ
“โอลิเวอร์?”
“ครับ?”
“ฉันไม่ได้รักคุณเฉยๆ นะ”
โอ พระเจ้า อะไรอีกล่ะนี่?
“ฉันรักคุณมาก ๆ เลย โอลิเวอร์”

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551

ความงามของเธอเท่านั้นที่ฉันมองเห็น

Takes My Breath Away

(Claire Hamill) © Ackee Music, Inc.















Sometimes it amazes me,
how strong the power of love can be,
and sometimes you just take my breath away.

You've watched my love grow like a child,
sometimes gentle and sometimes wild,
and sometimes you just take my breath away.

Chorus:
It's too good to slip by,
it's too good to lose,
too good to be there just to use.
Gonna stand on a mountain top and tell the news,
that you take my breath away.

Your beauty is there in all I see,
and when I feel your eyes on me,
ooh don't you know you just take my breath away.

My life is yours,
my heart will be,
singing for you eternally,
oh don't you know you just take my breath away.

ไปดู Tuck กับ Patti เล่นคอนเสิร์ต พร้อมกับเล่นหูเล่นตาให้กันบนเวทีสิจ๊ะ โห..หวานหยด
http://www.youtube.com/watch?v=EeXepms78dw

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551

จดหมายจากสาวสวนส้ม

เจ้าหญิงจ๊ะ

โอ คิดถึงจังเลย ที่โรงแรมนี้ไม่มีไวร์เลสจ้ะ เขามีอินเทอร์เน็ตให้ต่อทางสายโทรศัพท์ แต่อ่านวิธีการดูแล้วมันซับซ้อนเกินไป (สำหรับเรา) ตอนแรกว่าจะเอาโน้ตบุ๊กลงไปต่ออินเทอร์เน็ตที่ business center ข้างล่างแล้ว จะได้คุยกัน แต่คิดไปคิดมา ให้เจ้าหญิงเคลียร์งานก่อนดีกว่า ส่วนเราเขียนจดหมายหาดีกว่า เพราะยังไง ๆ ก็รู้ว่าคิดถึงกันอยู่แล้วใช่ไหมจ๊ะ

เอางี้นะ ลองอ่านผู้ชายคนหนึ่งบรรยายภาพผู้หญิงคนที่เขาตกหลุมรักดูสิจ๊ะ

“พ่อมองเธออีก ชุดแดงเพลิงช่างเย้ายวนใจ พ่อเห็นเรือนร่างที่กระเพื่อมน้อย ๆ ตามจังหวะหายใจ กระเพื่อมขึ้นลงเหมือนระลอกคลื่นที่กระทบหาดทราย ชุดแดงคือชายหาดของเธอ”

เป็นการเปรียบเทียบที่เห็นภาพเย้ายวนใจมากเลยนะจ๊ะ หากลองนึกภาพตาม มาจาก “ส้มสื่อรัก” จ้ะ เราอ่านจบตอนที่อยู่ในอาเจะห์นี่เอง เวลาที่ต้องทำงานเครียด ๆ ในสภาพแวดล้อมที่อยู่ไม่ค่อยสบาย พกหนังสือที่อ่านง่าย ๆ อ่านแล้วจิตใจเป็นบวกนี่ช่วยได้เยอะเหมือนกันจ้ะ

นักเขียนคนนี้เขียนหนังสือได้เก่งมาก มีสไตล์ที่น่ารัก เห็นว่าชอบเขียนเรื่องปรัชญาชีวิตยาก ๆ ให้วัยรุ่นเข้าใจได้ง่าย ๆ ยังไม่เคยอ่านเล่มอื่น ๆ ของเขาเลยจ้ะ เล่มนี้เขาเขียนเป็นจดหมายของพ่อที่เล่าเรื่องรักครั้งแรกของตัวเองให้ลูกชายฟัง โดยให้สมัญญาผู้หญิงคนนั้นว่า “สาวส้ม” และเริ่มเรื่องด้วยการปรากฏตัวอย่างลึกลับของสาวส้มที่เหมือนโผล่มาจากเทพนิยาย พบครั้งแรกก็ตกหลุมรักปั๊บ จากนั้นเขาก็ผูกเรื่องของสาวส้มให้เหมือนเป็นปริศนา และก็ติดตามค้นหาสาวส้มไปเรื่อย ๆ จนปริศนาว่าสาวส้มเป็นใคร ทำไมถึงทำอะไรแปลก ๆ คลี่คลายลงในตอนท้าย

การติดตามตัวละครตามหาหญิงในฝันในเรื่องนี้เป็นอารมณ์ที่อ่อนหวานเบิกบานมากนะ เคยอ่านดาวินชี่โค้ดไหมจ๊ะ เวลาที่ติดตามเรื่องแบบลุ้นระทึกเพื่อให้ปริศนาคลี่คลายตอนจบ เป็นการอ่านที่เหนื่อยมาก ลุ้นมาก และเครียดมาก แต่นี่ไม่เลยจ้ะ ตัวละครในเรื่องนี้มีอารมณ์ที่อินเลิฟแล้วน่าเอ็นดูจนขำ และชอบคิดและทำอะไรพิกล ๆ เหมือนตัวละครของเจ้าหญิงที่เขียนในประชาชาติน่ะจ้ะ ตอนที่ผู้ชายถามสาวข้างบ้านว่า “แล้วคุณแต่งงานทำไม ?” ประมาณนั้นเลย

เขาเขียนไว้ตอนนึงยังงี้ด้วยจ้ะ

“อีกครั้งที่พ่อต้องขอละเว้นรายละเอียดเกี่ยวกับการตามหาสาวส้ม ทั้ง ๆ ที่ได้ใช้เวลาไปหลายวันวนเวียนอยู่แถวถนนฟรองเนร์ และสามารถเขียนลำดับฉากได้เป็นหลาย ๆ หน้าทีเดียว.....

“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการปูพื้นก่อนเข้าประเด็นหลัก ซึ่งก็คือจุดที่พ่อได้พบหญิงสาวลึกลับผู้นี้เข้าจริง ๆ ไม่มีประโยชน์ที่จะบรรยายรายละเอียดตอนที่พ่อไม่ได้พบเธอ เพราะมันก็เหมือนกับการเล่าเรื่องคนซื้อลอตเตอรี่แล้วไม่ถูกรางวัล ลูกเคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับคนพวกนั้นบ้างล่ะ ? หนังสือพิมพ์เคยพาดหัวเรื่องคนที่ไม่ถูกรางวัลที่หนึ่งหรือเปล่า ? ...

“เอาละ...เรากำลังตามหาร่องรอยของหญิงสาวชุดส้ม ในเมื่อหัวใจของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือ “เธอ” เราสามารถลืมทุกอย่างที่ไม่ใช่ “เธอ” ไปได้ชั่วคราว เราสามารถขีดเส้นแบ่งระหว่างเธอกับคนอื่น ๆ นี้เมืองนี้ และเราสามารถหยิบผู้หญิงอื่นทุกคนมารวมไว้ในวงเล็บเดียวกัน”

จริง ๆ เล่มนี้เขาเขียนถึงประเด็นคำถามเกี่ยวกับการมีชีวิต การใช้ชีวิต และการจบสิ้นของชีวิตแบบง่าย ๆ ไว้ด้วย คงเหมาะสำหรับผู้อ่านวัยรุ่น แต่สำหรับเราสองคนคงก้าวข้ามพ้นการตั้งคำถามเรื่องพวกนั้นมาแล้ว

ส่วนสัปดาห์นี้ของเรา สำหรับทริปอาเจะห์นี้ ก็ถือว่าจบลงด้วยดี (happy ending ) ก็ว่าได้ เสาร์อาทิตย์เดินทางทั้งวัน ส่วนวันจันทร์ถึงพฤหัส ก็ทำงานประมาณวันละ ๑๒ ชั่วโมง (และมากกว่านั้น) แต่งานก็เสร็จเรียบร้อยไปหลายอย่าง ทำให้โล่งอกไปเยอะ (ถึงจะยังเสร็จไม่หมด แต่ก็..สัปดาห์หน้ายังมีนี่นา)

จะว่าไป สัปดาห์นี้เราก็เป็นสาวส้มเหมือนกันนะ เพราะเทียวแบกถุงส้มวันละกิโลสองกิโลกลับบ้านทุกวัน อย่างที่เล่าให้ฟังน่ะจ้ะ ความเป็นอยู่ที่นี่ไม่สะดวกนัก มาถึงคืนแรก พบว่า บ้านพักของที่ทำงานเขาเปลี่ยนบ้านพักของสตาฟผู้หญิงจากบ้านอูตันบายีไปเป็นบ้านมหารานี ซึ่งอยู่ในซอยมหารานี และเป็นบ้านที่เก่าโทรมกว่าบ้านอูตันบายีมากจ้ะ น้ำก็ไหลค่อย ก๊อกน้ำในครัวก็หลุดติดมือออกมาทุกทีที่เปิด ไปถึงคืนแรก แอร์ห้องเราเสียและหน้าต่างก็เปิดไม่ได้ แถมไม่มีพัดลม จึงต้องย้ายไปนอนห้องมารา ตื่นเช้ามา เจอแมลงสาบนอนตายเกลื่อนบ้านตั้งสองสามตัว คืนที่สอง ย้ายไปอยู่โรงแรม ปรากฏว่าห้องไม่พอ ต้องนอนกับมาราอีก และแอร์เสียอีก ต้องขอพัดลมเขามาเปิด และมาราพบว่า ผ้าปูที่นอนเขาไม่ได้ซัก เพราะแอบเจอเส้นผมอยู่ในผ้าห่ม จึงได้พากันอพยพกลับไปอยู่บ้านของออฟฟิศตามเดิม ซึ่งคราวนี้ เขาซ่อมแอร์แล้ว แต่เราเจอทาก ๒ ตัวในห้องน้ำของเรา (กรี๊ด) คืนที่สี่ พอกลับบ้านมา ปรากฏว่าที่ออฟฟิศดันอุตริให้คนเข้าไปทาสีห้องนอนเราใหม่ จนเหม็นสีไปทั้งห้อง ต้องย้ายไปนอนห้องมาราอีก ปรากฏว่าที่ห้องมารา มีช่องแสงเหนือหน้าต่าง ทำให้แสงไฟจากนอกบ้านส่องเข้ามาได้ เหมือนนอนเปิดไฟทั้งคืน เฮ้อ...

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น.. เราก็พากันหัวเราะกับเรื่องเครียด ๆ บ้า ๆ บอ ๆ นี้กันไปได้ก็เพราะส้มนี่แหละจ้ะ เราจะเอาส้มที่ซื้อมาไปล้างแล้วแช่ตู้เย็นไว้ ทุกเช้าเย็นก็จะเอาส้มมาคั้นกินกันสด ๆ ด้วยที่คั้นน้ำส้มที่อุตส่าห์หอบหิ้วติดกระเป๋าเดินทาง กลิ่นส้มจะหอมฟุ้งไปทั่วห้อง ยิ่งคิดถึงเรื่องส้มสื่อรักที่อ่านจบไปใหม่ ๆ ก็รู้สึกว่า ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับสัปดาห์นี้มันสอดคล้องต้องกันพอดีเลย (ส้ม) แต่ละวันที่เหนื่อย เครียด เซ็ง หงุดหงิด จึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดีด้วยชั่วขณะเล็ก ๆ แบบนั้นจนถึงวันนี้

พรุ่งนี้ก็จะเดินทางต่อเพื่อกลับบ้านแล้วล่ะ ดีใจจัง ว่าง ๆ ก็...อ่านส้มสื่อรัก แล้วคั้นน้ำส้มจากส้มเย็น ๆ กินบ้างนะจ๊ะ ชีวิตมันจะได้น่ารักขึ้น (จากที่น่ารักและหอมหวานพอประมาณอยู่แล้ว)

ด้วยรักและคิดถึง

สาวชาวสวน (ส้ม) ของเจ้าหญิง (ที่จะเอาผู้หญิงอื่นทุกคนในโลกนี้ไปใส่รวมไว้ในวงเล็บ และเรียกรวม ๆ กันว่า “ผู้หญิงคนอื่น” ทั้งหมด)

ของสวย ๆ ของคนสวย

เจ้าหญิงจ๊ะ

ขออวดของสวยที่บังเอิญไปเห็นจากนิตยสารประจำสายการบิน silk air จ้ะ เป็น USB drive ขนาด 1 gig ผลิตโดยสวารอฟสกี้จับมือกับฟิลิปส์ อันนี้คืออันที่เราชอบจ้ะ สามารถเอาไปสวมเป็นสร้อยคอได้นะ แต่พอเราถอดออกมา แล้วก็...แต่นแต๊น... กลายเป็นตัวเก็บไฟล์ข้อมูลได้ ดูแล้วเท่เหมือนนางฟ้าชาร์ลีเลยเนอะ
รูปหัวใจอีกแบบเป็นแบบฝังเพชร ส่วนอีกแบบเป็นรูปกุญแจ ซึ่งสามารถเอาไปใช้งานเป็นกุญแจจริง ๆ ได้ด้วยนะ มีทั้งกุญแจแบบคริสตัลและแบบฝังเพชร










เห็นราคาในเว็บบอกว่า อยู่ที่ 179 เหรียญสหรัฐฯ จ้ะ ซื้อกล้องดิจิตอลได้ตัวนึงเลยเนอะ (กลืนน้ำลาย)

แต่มันเหมาะกับคนสวย ๆ อย่างเรามากเลยนะจ๊ะ ว่าไหม ฮิ ๆ

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551

เจ้าหญิงและฉัน

ขอสมมติว่านี่คือเจ้าหญิงกับฉันก็แล้วกัน...

เป็นภาพที่เห็นแล้วโดนใจมากจ้ะ เพราะชีวิตเรามันก็ไม่ได้สวยงามและราบรื่นไปเสียทุกขณะใช่ไหม แต่ในคราวที่ถูกรุมล้อมด้วยความทุกข์ เศร้า และปัญหาสารพัน ฉันก็อยากมั่นใจว่าฉันมีเจ้าหญิงประจำตัวอยู่ และเจ้าหญิงจะมีไหล่ขององครักษ์ประจำกาย (ฉันเองไง) ไว้ให้พักพิงอยู่เสมอ

อาจไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ไม่ต้องปลอบใจกัน แค่ได้อยู่ด้วยกันเงียบๆ และรู้ว่าเธออยู่กับฉัน มันก็คงพอแล้ว แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด

นี่เป็นความรู้สึกที่ได้เห็นภาพนี้จ้ะ

ภาพนี้เอามาจากนิตยสารของสายการบินการูดาประจำเดือนธันวาคม 2007 ในบทความที่เขียนถึงศิลปินอินโดฯคนหนึ่งชื่อ Firman Ichsan ที่เป็นช่างภาพด้วย ทำงานเป็นภัณฑารักษ์ด้วย เขากำลังแสดงงานชุด Solitude ที่จาการ์ตาช่วงเดือนธันวาคม 07 – มกราคม 08 นี้ เสียดายจ้ะที่เราไม่ได้ผ่านจาการ์ตาในทริปเดือนที่แล้วและทริปนี้ในเดือนนี้

เห็นได้ว่างานเขียนของเขามีอิทธิพลจากศิลปินยุโรปมากเลย รู้สึกจะเรียนมาจากอัมสเตอร์ดัมด้วยนะ คุณศิลปินบอกว่าตั้งใจจะสะท้อนภาพของความเปลี่ยวเหงาของคนยุคใหม่ในสังคมเมืองจ้ะ เขาว่าสิ่งที่เด่นชัดที่สุดในอารมณ์ของมนุษย์ยุคสมัยใหม่ที่เขาสะท้อนออกมาบนผืนผ้าใบ ก็คือ ความคลุมเครือของอารมณ์ ความโดดเดี่ยวในสีสดใส ความใกล้ชิดในโทนสีหม่นมัว ความสะดวกสบายในความน่าเบื่อ ความเป็นผู้หญิงกับความเป็นผู้ชายหลอมรวมกัน การพึ่งตนเองได้ในความโดดเดี่ยว และพลังงานด้านบวกผสมกับด้านลบ เป็นต้น

เขาบอกว่า แม้ว่าภาพของผู้คนในภาพเขียนชุดนี้จะอยู่ในอิริยาบถที่นิ่ง ๆ และดูเหงาโดดเดี่ยว แต่ก็ยังให้ความรู้สึกว่าบุคคลในภาพมีการเคลื่อนไหว จากตำแหน่งของมือ ศีรษะหรือส่วนอื่นของร่างกาย ภาพส่วนใหญ่จะเป็นภาพคนลอยๆที่ไม่มีฉากหลังใดๆ จะมีอย่างมากก็แค่เก้าอี้และโซฟาโดดๆ จะสั
งเกตเห็นด้วยจ้ะว่าใบหน้าของคนในภาพจะไม่สมบูรณ์ ดวงตา จมูกและปากจะดูเลือนๆ และหน้าซีกหนึ่งจะชัดส่วนอีกซีกหนึ่งจะเบลอ

“เราต้องการสถานการณ์ที่เราสามารถก้าวถอยหลัง พักผ่อน ขัดเกลาความรู้สึกของเรา เพื่อทบทวนตัวเองและไม่รู้สึกแปลกแยกจนเกินไป” คุณศิลปินบอกอย่างนั้นจ้ะ

ชอบวิธีการใช้สีของเขา และการวาดเส้นรูปเหลี่ยมๆ ผสมกับเส้นโค้งน่ะจ้ะ ดูรูปอื่นด้วยสิจ๊ะ