วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2551

รักแรกพบ แต่ว่า...ไม่รักดีกว่า

แมวตัวนี้ พบหน้าปุ๊บก็รักมากๆ
เป็นแมวที่หน้าตาน่ารักน่าทะนุถนอมมากๆ
ได้ข่าวว่าเรียบร้อยและไม่ดื้อเลย
แต่ว่าแมวตัวนี้อยู่ไกลถึงเชียงใหม่โน่น
ทำให้ความรักเป็นรักที่เจ็บปวด (นิดๆ) เพราะคิดถึงก็จะไม่ได้เจอ
ไปหาก็ลำบาก มาหาก็ไม่ได้
ทำให้แมวต้องถูกคนอื่นเลี้ยง และไม่ได้เป็นแมวของเรา
แสดงว่า...เราไม่รักมันดีกว่ามั้ย
อืมม์
บ๋ายบายนะแมวน้อยของเรา เราจะคิดถึงเธอนะ
ขอให้เติบโตแข็งแรง มีความสุข และไม่ดื้อน่ะดีแล้ว
จุ๊บๆๆ (ในฝัน)
ปล. เราลองขอแล้วหละ แต่ไม่ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงแมวที่บ้าน
แต่ไม่เป็นไรนะ สักวันหนึ่ง เราจะมีแมวเป็นของตัวเอง (ที่อยากอยู่กับเรา)
T-T



วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คุณหนูของยาขอบ


กะทิ..เด็กบ้านนอกของแฟนจ๊ะ

ตอนนี้ก็บ่ายแก่แล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลงเป็นลำดับ ส่วนอาการปวดท้องของแฟนก็เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี ทำให้อาการคลุ้มคลั่งคุ้มดีคุ้มร้ายของแฟนก็พลอยบรรเทาเบาบางลงไปด้วยจ้ะ (เฮ้อ)

ตอนนี้ กะทิกำลังหน้าดำคร่ำเครียดปั่นงานอยู่ จึงสั่งห้ามไม่ให้แฟนรวบกวน ส่วนแฟนก็... อยากจะทักชวนคุยเล่นก็เกรงใจ เพราะถึงกะทิจะเป็นเด็กบ้านนอก แต่เด็กบ้านนอกเค้าก็จริงจังกับชีวิตเหมือนกัน.. และต้องทำมาหากินมีเดดไลน์ส่งงานเหมือนกันนะ ฮึ จะมามัวคุยเล่นอยู่กับแฟนได้ยังไง ใช่ไหมๆๆ

งั้นแฟนเล่าเรื่องสัพเพเหระให้กะทิฟังทางนี้ดีกว่านะ นะ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แล้วก็...ไม่รบกวนการทำงานของกะทิไง

แฟนอ่านหนังสือ “รักแท้ รวมเรื่องสั้นอันเป็นที่รักของยาขอบ” อยู่หลายวันกว่าจะจบ เพราะหนังสือมันหนามาก ๆ จึงไม่ได้หอบหิ้วติดตัวไปไหนมาไหนด้วย ได้แต่ทิ้งแหมะไว้ที่หัวนอน อ่านก่อนนอนทุกคืน มันถึงจบช้า หนังสือเล่มนี้ก็ดีนะจ๊ะ เด็กสำนวนโบราณๆ อย่างกะทิน่าจะชอบ มีเรื่องเพื่อนแพง (ที่เค้าเอามาทำเป็นหนัง) ด้วยนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวในเล่มนะ ที่สำนวนจะออกแนวลูกทุ่ง แล้วมีคนเอาไปเปรียบเทียบกับเรื่องของ “ไม้ เมืองเดิม” ด้วยนะ ว่าสำบัดสำนวนสูสี เข้าทำนอง ขิงก็รา ข่าก็แรง หรือ ท่านเป็นเจ้าป่า ส่วนข้าเป็นเจ้าถ้ำ (สำนวนนี้แฟนคิดเอง) ฯลฯ

อีกหลายเรื่องก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักในหลากหลายรูปแบบ เรื่องของแม่ม่าย เมียน้อย รักสามเส้า ดอกฟ้ากับหมาวัด ฯลฯ ก็ให้อารมณ์ย้อนยุคดีน่ะจ้ะ แฟนก็ไม่ได้ชอบทุกเรื่องหรอกนะ แต่ว่ามันมีอยู่เรื่องนึงที่อ่านแล้วอารมณ์หวานสดชื่นแตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ มาก แฟนขอแนะนำๆๆ ให้กะทิอ่าน (เพราะแฟนชอบๆๆ) เรื่องนั้นคือ “ชื่นจิตต์”

กะทิจ๊ะ เคยอ่าน “จดหมายรักของยาขอบ” แล้วใช่ไหม จำได้ราง ๆ ไหม จดหมายที่ยาขอบเขียนถึงผู้หญิงสาวที่เขารักและเทิดทูนอยู่ช่วงหนึ่ง ทั้งรัก ทั้งหวง ทั้งหลง และอยากทำให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้นๆ เพื่อให้ควรคู่กับหญิงที่เขารัก จากหนังสือเล่มนี้ แฟนถึงรู้ว่า ยาขอบก็เป็นนักเลงรุ่นเก่า มีนิสัย เกเร เจ้าชู้ (แบบชายชาตรี) อย่างที่นักเลงเก่าตัวจริงเขาเป็นกัน แล้วยาขอบเนี่ย ก็แอบชอบผู้หญิงที่เป็นแนวคุณหนูมาก ๆ (เหมือนใครนะ) และเวลานักเขียนพวกนี้เกิดความรู้สึกที่รักมาก และเทิดทูนมาก เขียนหนังสือออกมาก็..หือ...น้ำเน่าแต่ก็มีเสน่ห์แบบเชยๆ มากๆ เลยไงจ๊ะ

เรื่องสั้นเรื่องนี้ ยาขอบเขียน เป็นบันทึกของคุณหนูคนหนึ่ง ที่เริ่มเขียนไดอารี่เมื่อเกิดความรู้สึก “รักครั้งแรก” ขึ้นมาโดยที่ตัวเองก็ยังไม่รู้แน่แท้ว่ารู้สึกอย่างไร และความรักคืออะไร เนื่องจากชายผู้นั้นต่ำต้อยกว่าตน เธอจึงมีแอบเขียนไว้ด้วยนะว่า “ฉันจะรักเขาอย่างไรได้ ไม่ขอรักเป็นอันขาด”

ผู้ชายนั้นเป็นพนักงานบริษัทของ “ป๋า” ของเธอจึงมาทำงานที่บ้านทุกวัน ได้พบหน้าคุณหนูของบ้านก็หลงรัก ส่วนคุณหนูคนนี้ก็หวั่นไหว (แต่ปากแข็ง) เรื่องนี้ ยาขอบให้น้ำหอมกลิ่น “ชื่นจิตต์” ซึ่งเป็นน้ำหอมชั้นหนึ่งของลูบัง ห้างปรุงน้ำหอมชั้นที่หนึ่งของปารีสที่คุณหนูซื้อมาคราวเดียวหกขวด มาเป็นสื่อรักของคุณหนูกับธนู เมื่อความรักเริ่มบ่มเพาะ มีการต่อปากคำกันไปมา คุณหนูโกรธ ก็เลยแอบให้เด็กเอา “ชื่นจิตต์” ไปให้เขาเสียสองขวด “ประชดจังๆ เสียบ้างจะได้รู้สึกตัว” นั่น...คุณหนูมั้ยๆๆๆ

ไอเดียที่เอาน้ำหอม “ชื่นจิตต์” มาเป็นสื่อความรักนี้มันโรแมนติกแบบเชย ๆ ได้ใจจริง ๆ นะ แต่ละบทตอนนี่ เขียนได้โรแมนติกอย่างคลาสสิกชวนอึ้งจริงๆ เลย อย่างฉากหนึ่งเป็นตอนที่ป๋าไม่สบาย คุณหนูจึงต้องไปนั่งเฝ้าไข้ข้างเตียง แล้วคุณธนูต้องเอางานเข้ามาคุยกับป๋าเป็นครั้งคราว เมื่อชายหนุ่มตีหน้าขรึม เป็นการเป็นงาน คุณหนูก็ไปเอาขวดน้ำหอมชื่นจิตต์มาจากห้อง แล้วฉีดเป็นละอองข้ามตัวป๋าไปเพื่อเรียกความสนใจของเขาเสียอย่างงั้น!

แล้วชายหนุ่มตัดพ้อว่าอย่างไรรู้ไหม เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วบอกว่า “จะแกล้งกันไปถึงไหน วาสนาแกล้งผมมากอยู่แล้ว โปรดเถอะ อย่าพลอยแกล้งอีกแรงหนึ่งเลย”

อีกตอนหนึ่งที่คุณหนูเป็นฝ่ายตัดพ้อบ้าง แต่ว่า..แอบมาตัดพ้อโดยการเขียนไว้ในไดอารี่ว่า “เขาทีเดียวทำให้ฉันไม่สบาย จนปวดศีรษะตลอดมาถึงครึ่งวันนี่เข้าแล้ว”

“เมื่อวานนี้แท้ ๆ เขาหาความฉันว่าไปสอนให้เขารู้จักจดจำกลิ่นชื่นจิตต์ ก็แล้วคราวนี้ กลิ่นนั้นอบอวลอยู่ใกล้เขาแล้ว เขาต้องรู้ว่าใครกำลังจะผ่านเขาไป ควรหรือก้มหน้าเสีย ทำเป็นผูกเชือกรองเท้าอยู่ได้ ฉันอยากจะร้องไห้ และสงสัยว่าฉันลดถอยความสวยสดงดงามลงไปที่ตรงไหน ผู้ชายคนที่เคยมองด้วยสายตาที่แสนจะชื่นชม จึงเห็นฉันสำคัญน้อยกว่าเชือกผูกรองเท้าของเขาเสียแล้ว...”

อันนี้ที่แท้ก็คือ เมื่อคุณหนูเดินลงบันไดมา ผ่านโต๊ะทำงานเขา เขาไม่ยอมมองเอาแต่ก้มหน้าผูกเชือกรองเท้า ก็เลยน้อยใจจนแทบจะร้องไห้...และปวดหัวไปครึ่งค่อนวัน

ฮา (นิสัยใครหนอ คุ้น ๆ ไหมกะทิ)

ยาขอบเนี่ย เขียนถึงความไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ ของคุณหนูคนนี้ได้อย่างสมจริงมาก ๆ แฟนจึงเชื่อว่า ยาขอบจะต้องเคยมีแฟนเป็นคุณหนูจริงๆ และเคยหลงใหลคุณหนูมาก ๆ ด้วยจ้ะ อย่างนิสัยขี้หึงแบบนี้

“โปรดพูดกับฉันอย่างคนมีเกียรติยศพูด ธนูไม่เคยรักใครเลยหรือคะ?”
“เคยมามากหลาย แต่ไม่หนักแน่นแน่แท้เหมือนที่รักคุณมัลลิกา”
ฉันร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “ต๊าย-ตาย” แล้วก็โดยไม่ตั้งใจอีกนั่นแหละ ที่ถอยหลังออกมาห่างเขา ไม่รู้โมโหมาจากไหน ฉันอยากจะฉีกเนื้อเขาเสียเหลือเกิน

ฮา (นิสัย คุ้น ๆ อีกแล้วไหมจ๊ะ ฮึ)

แต่ฝ่ายชายก็ยังทั้งรักทั้งเทิดทูนอยู่แบบนี้แหละจ้ะ

“อธิษฐานให้มัลลิกาแต่งงานไปเสียเร็ว ๆ กับผู้ชายที่รักคุณมากเหมือนผมรัก แต่ให้เขาดีกว่าผมร้อยเท่า เป็นคำอธิษฐานที่ขมขื่น แต่ผมก็ได้ทำให้ทุกคืนจริง ๆ ถ้าผมดีพอ ผมจะสวดเพื่อให้มัลลิกาเป็นของผม เพราะผมไม่เชื่อว่าในส่วนรัก จะมีผู้ชายคนไหนเคยรักผู้หญิงมากมายเหมือนที่ผมรักมัลลิกา”

อีกส่วนหนึ่งที่คิดว่ายาขอบเขียนได้น่ารักน่าเอ็นดู ก็เพราะว่า เขาเขียนให้คุณหนู แม้ว่าจะอกหัก คร่ำครวญ ตัดพ้อ เศร้าสร้อย ก็ยังดำรงชุดความคิดแบบคุณหนูๆ อยู่ดีแหละ ดูอย่างคำพูดต่อไปนี้สิจ๊ะ แฟนคิดว่า มันทั้งน่าเอ็นดูและทั้งขำไปพร้อม ๆ กัน

“เขาต้องคิดไม่ต่างกับที่ฉันคิด โธ่เอ๋ย ฉันสงสารเขายิ่งกว่าสงสารตัวเอง เพราะเขาน่าสงสารยิ่งกว่าฉันมาก ฉันหงอยอย่างพระจันทร์ แต่เขาคงขวัญเสียอย่างกระต่าย เคราะห์ดีที่เป็นกระต่ายฉลาดอยู่บ้าง รู้จักซ่อนหน้า เมื่อรู้ตัวว่าต้องตรมตรอมเพราะแสงจันทร์นั้น”

“เมื่อผู้ชายที่มั่งมีศรีสุขทอดสนิทเข้ามา โดยเอาความภาคภูมิของเขาเป็นเดิมพันนั้น เราอาจไว้ตัวในความเป็นสาวงามของเรา แต่ครั้นผู้ชายจน ๆ บังอาจเข้ามาบ้าง ชูหัวใจดวงเดียวของเขาเข้ามาเป็นเดิมพันนั่นสิ ชั้นแรกเราอาจโดดถอยออกไปหลายก้าว เพราะขยะแขยงต่อความจน แต่ถึงแม้โดดถอยออกไปแล้วไกลแสนไกล รัศมีอันสุกใสของดวงใจที่ซื่อตรงก็ยังฉายประกายแวววับไว้ให้เห็น เหมือนแสงเพชรที่ตกอยู่เหนือตม”

แล้วที่ยิ่งขำขึ้นไปอีก ก็คือตอนที่คุณหนูได้รู้รส “จูบแรก” จากชายผู้เป็นที่รัก หลังจากที่ได้ยืนชมจันทร์เคียงกันยามค่ำคืน จากนั้น ก็มาเขียนลงไดอารี่ว่า

“เพลงอะไรไม่รู้ จำได้แต่เพียงเนื้อร้องเลา ๆ ว่า “ถ้าตัวน้องเป็นชาย พ่อพลายเป็นสตรี ค่ำ ๆ วันนี้จะไปแนบให้หนำใจ” เนื้อร้องตอนนี้ ครั้งโน้น ทำให้ฉันดูหมิ่นแม่ศรีมาลานัก ว่าจิตใจแกหาสมเป็นกุลสตรีหรือลูกสาวเจ้าบ้านผ่านเมืองชั้นพระพิจิตรไม่ ที่คร่ำครวญถึงพลายงามอย่างน่าอับอายขายหน้า แต่เดี๋ยวนี้ ฉันไม่อาจดูหมิ่นลูกสาวพระพิจิตรแล้ว เพราะความจริงช่วยให้เกิดสำนึกว่า แม่ศรีมาลาจะคิดเห็นเช่นนั้นบ้างก็สมควรอยู่ ถ้าเป็นคืนที่อย่างอื่นเงียบ ระงมแต่เสียงแมลง แล้วพระจันทร์ก็ทอแสงอร่ามงามเช่นคืนวันนี้”

ในที่สุด คุณหนูก็แพ้พ่ายแก่ความรักและความปรารถนาเหมือนกับผู้หญิงทุกคนแบบนี้แหละจ้ะ เฮ้อ

อ้อ ลืมบอกไป เรื่องสั้นนี้จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งด้วย อ่านแล้วสนุกน่ารักดีนะจ๊ะ

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ฤดูกาลของสาวส้ม

นี่ฉันอยู่กรุงเทพฯ ติด ๆ กันมาเข้าอาทิตย์ที่สามแล้ว อยากจะบอกว่ามีความสุขมาก ๆ ด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น ๑. ได้ไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทำให้มีกล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นมาบ้าง ๒. ได้สะสางงานเอกสารไปได้มากมาย จนบัดนี้ งานที่ค้างอยู่ก็น้อยลง ๆ ๓. ได้จัดบ้าน รวมถึงตู้เสื้อผ้าและห้องทำงาน (ที่บ้าน) ได้เป็นระเบียบเรียบร้อย หยิบจับอะไรก็ง่ายและงามตา ทำให้วันเสาร์อาทิตย์ของฉันเป็นวันหยุดจริง ๆ แบบที่ชาวบ้านเขามีกัน

เมื่อมาเปิดดูรูปเก่า ๆ ที่ถ่ายไว้เวลาเดินทาง จึงได้เห็นว่า อืมม์...จุดหมายปลายทางแต่ละที่มันงามตามแบบของมันจริง ๆ นะ แต่ความงามของการเดินทางมักถูกความเหนื่อยล้า การต่อเครื่องบิน การตกเครื่องบิน การอดนอน และการรื้อกระเป๋าซักผ้า ฯลฯ บดบังจนหมดสิ้น

ช่วงเวลาโปร่ง ๆ ที่ได้อยู่กับที่แบบนี้แหละจ้ะ ทำให้ตาสว่างมองเห็นความงามของการเดินทางขึ้นมาทันใด จึงเลือกรูปที่ถ่ายไว้เล่น ๆ จากทริปมาอวดเธอ

เกียวโต เดือนพฤศจิกายน ปี ๒๐๐๖

เคยมีเพื่อนฝรั่งบอกว่า เมื่อมาอยู่เมืองไทยสักพัก สิ่งที่รู้สึกว่าขาดหายไปและคิดถึงก็คือ “ฤดูกาล” เพราะเมืองไทยนั้นร้อน แดดออก ภูมิอากาศเป็นแบบเดิม ๆ และป่าเขียวครึ้มตลอดปีตลอดชาติ (หากเป็นป่าคอนกรีตก็จะเป็นสีเทาบวกแสงสีนีออนตลอดปีตลอดชาติ)

ประเทศที่มีฤดูกาลนั้น ถ้าเป็นฤดูหนาวก็จะขาวโพลน พอฤดูใบไม้ผลิดอกไม้ก็จะบานแข่งกัน ถ้าเป็นสวนซากุระก็จะชมพูพราว หากเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ก็จะม่วงไสวไปสุดลูกหูลูกตา หรือไม่ก็เหลืองละออ หรือไม่ก็อาจจะเป็นดอกไม้เล็กใหญ่หลากหลายสีสันแบบในสวนกอเกินฮอฟ พอเข้าฤดูใบไม้ร่วง ไม้ก็จะเตรียมสลัดใบกลายเป็นสีโทนเหลือง ส้ม.. สีสันของฤดูกาลเหล่านี้ส่งอิทธิพลต่อสีสันของเสื้อผ้าในแต่ละซีซั่นด้วยไง

เกียวโตในฤดูใบไม้ร่วงนี้จึงเป็นฤดูที่เหมาะสมกับสาวส้มที่สุด ก็เพราะใบไม้มันจะกลายเป็นสีออกโทนเหลืองและส้มกันหมดไงจ๊ะ อากาศก็เย็น ๆ ใส่เสื้อหนาวให้อุ่น ๆ เดินดูใบไม้ร่วง หรือที่ยังเหลืองก่ำส้มก่ำคาต้น พอเหนื่อยก็แวะนั่งพัก กินขนมหรือกินน้ำชากาแฟอุ่น ๆ ก็สบายใจดี

ฤดูนี้นอกจากเราจะไปตื่นตาตื่นใจแล้ว คนญี่ปุ่นเองเขาก็ยังฮิตไปท่องเที่ยวกันด้วย ตามวัดโบราณทั้งหลายในเกียวโต ช่วงฤดูใบไม้สุกก่ำแบบนี้ จึงมีนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นไปเดินตื่นเต้นกับเราขวักไขว่ไปหมด ซึ่งมันก็ครึกครื้นไปอีกแบบนะจ๊ะ



ม่านรักที่บดบังดวงตา

ช่วงนี้พอว่างจากการเดินทางขึ้นมา ก็ได้ดูหนังเยอะแยะไปหมด รู้มั้ยจ๊ะ ว่าร้านขายหนังในกรุงเทพฯเดี๋ยวนี้เอาหนังต่างประเทศแปลกๆ มาลดราคากระหน่ำ ทำให้เวลาไปเดินเล่นในห้างที ก็หอบซื้อมาเก็บสะสมไว้ได้เยอะแยะ พอมีเวลาบ้าง ก็เอามาเปิดดูเสียทีหนึ่ง

เรื่องที่ดูแล้วชอบอีกเรื่องหนึ่งก็คือ The White Masai หรือเขียนเป็นภาษาเยอรมันว่า Die Weisse Massai เรื่องนี้เขาอ้างอิงมาจากชีวิตจริงของผู้หญิงชาวสวิสคนหนึ่งด้วยนะ ที่เขียนเป็นหนังสือออกมา (แต่หนังสือไม่ดังเท่าหนัง สงสัยเขียนไม่สนุก)

เรื่องของเรื่องก็คือ ผู้หญิงคนนี้เดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศเคนยากับแฟนหนุ่มชาวสวิส ระหว่างท่องเที่ยวอยู่ ก็ดันไปเกิดรักแรกพบกับนักรบหนุ่มจากเผ่ามาไซ เป็นรักแรกพบหลังจากสบตากันปิ๊งเดียวบนดาดฟ้าเรือ เต้นรำด้วยกันอีกนิดหน่อย ในที่สุดก็ตัดสินใจทิ้งให้แฟนกลับประเทศไปคนเดียว

ส่วนตัวเธอน่ะหรือ อยู่ต่อเพื่อไปตามหาผู้ชายคนที่รัก หนุ่มคนนั้นชื่อว่าเลมาเลียน (ตามท้องเรื่อง) นั่งรถเมล์ข้ามคืนข้ามวันตั้งสองสามต่อ เดินข้ามเขาอีกเป็นลูกๆ แล้วในที่สุดก็ได้พบรัก ปักหลัก แต่งงานกับนักรบท้องถิ่น แต่ชีวิตการแต่งงานก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เราเห็นอยู่ว่ามันเป็นความสัมพันธ์ที่ดูแล้วน่าจะขรุขระตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งมันก็เป็นจริงดังนั้นตามท้องเรื่อง

แต่ประเด็นคือผู้หญิงคนนี้รู้แต่แรกแล้วว่ามันจะไม่ง่าย แต่ก็ใจสู้ และสู้จนถึงที่สุด โดยเฉพาะดาราคนที่แสดงเป็นนางเอกนี้ทำให้เราดูเพลินมาก ไม่สวยมาก แต่หุ่นดี ดูดีเป็นธรรมชาติ แต่งตัวทะมัดทะแมงเหมาะสม มีดวงตาที่มุ่งมั่น บอกว่าจะสู้ก็สู้ พอถึงเวลาจะถอยก็ถอยอย่างเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่นพอ ๆ กันเลย

หนังเรื่องดีดูสนุกดี เห็นฉากหลังตระการตาน่าอัศจรรย์ เห็นหญิงผมทองใส่เสื้อสายเดี่ยว สะพายกระเป๋าผ้าเดินหลงทางอยู่กลางตลาด เห็นเธอกอดจูบกับหนุ่มผิวดำมะเมื่อม นุ่งผ้าเตี่ยวและถืออาวุธประจำเผ่าติดกาย แล้วก็เธออีกนั่นแหละที่นั่งก่อกองฟืนชงชาบนพื้นทรายอยู่หน้ากระท่อม มันมีสีสันฉูดฉาดดีไม่หยอก

ผ่านสายตาของเธอ...ในภูมิประเทศอันสวยงาม เราได้เห็นประเพณีที่โหดร้าย เช่นการขลิบอวัยวะเพศของหญิงสาว การที่คนนิ่งดูดายไม่ช่วยคนกำลังจะตายเพราะหาว่าเธอเป็นปิศาจ หลังจากกัดฟันยอมรับและอดทนมาเรื่อย เมื่อเวลาผ่านไป ม่านของความรักที่ปิดบังดวงตาก็เริ่มคลี่ออก ให้เห็นความไม่เหมือน ให้เห็นความระแวง ความกลัว และความไม่สอดคล้อง แต่ก็ยังกัดฟันสู้ จนถึงวันที่ทั้งร่างกายและจิตใจมันบอกเองว่าไม่ไหวแล้ว จึงหนีจากความรักนั้นมา

สีหน้าและแววตาของนางเอกเรื่องนี้ติดตามาก ที่สำคัญ เราก็ยังเห็นด้วยกับเธอนะจ๊ะ ที่แม้จะรู้เป็นลางๆ ว่าความสัมพันธ์บางครั้งมันจะไม่เวิร์ค แต่ก็ให้โอกาสและอดทนปรับตัวจนถึงที่สุด เพราะเมื่อถึงที่สุดแล้ว การลาจากก็คงจะเป็นการจากที่ แน่ชัด ถาวร และหมดสิ้นข้อสงสัยใด ๆ

ไม่เชื่อก็ลองดูหน้าตาของเธอตอนหอบลูกจากสามีมาสิจ๊ะ

วันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2551

สวยทุกชุดของ Shopgirl (สืบเนื่องจากตอนที่แล้ว)

ชุดที่ใส่ไปทำงาน (ขายถุงมือในห้าง) หรือไปออกเดท หรือไปทานข้าวกับเพื่อน ก็เป็นกระโปรงทุกชุด มีทั้งแบบสีเรียบ ลายดอก ดูแล้วคุมโทนบุคลิกของมิราเบลได้อย่างดี พอมาคบกับเรย์ พอร์เตอร์ เธอจะมีชุดแบรนด์เนมที่ดูหรูขึ้น แต่ก็ยังคงบุคลิกเป็นสาวหวานไว้อยู่ดี ยกเว้นนิดนึงก็แต่ชุดในช่วงหลัง คือสมัยที่ย้ายไปทำงานที่แกลลอรี่กับสมัยที่เริ่มเป็นศิลปินที่มีงานแสดง ชุดของเธอจะออกโทนดำ และเฉี่ยวขึ้นนิดหนึ่ง

แต่ฉันก็ชอบหมดเลย เอ๊ะ คนเราดูหนังเพื่อดูอะไรกันแน่เนี่ย








































































Why don’t you love me!


ดู Shopgirl มา เป็นหนังที่น่ารักมาก พล็อตง่ายๆ คือ นางเอกชื่อมิราเบล เป็นหญิงสาวที่ขี้เหงาทำงานเป็นพนักงานขายถุงมือในห้างสรรพสินค้า มีชายหนุ่มถังแตกแถมยังนิสัยห่วยๆ คนหนึ่งมาติดพัน จากนั้นได้พบชายสูงวัยคราวพ่อมาติดพัน ซึ่งคนนี้ดูหรูกว่า รวยกว่า และมีรสนิยมนุ่มนวลกว่า จึงบอกลาชายหนุ่มหันมาคบชายสูงวัย หกเดือนผ่านไป พบว่าชายสูงวัยไม่ได้ต้องการมีความสัมพันธ์แบบผูกมัด จึงต้องร้างลาจากกัน พอดีที่ชายหนุ่มกลับคืนสู่เมืองมาพร้อมกับมาดใหม่ ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น นุ่มนวลขึ้น และมีหลักมีฐานมากขึ้น มิราเบลจึงได้จังหวะหวนกลับไปรักกับชายหนุ่มคนนั้น

“ทำไมคุณไม่รักฉัน” ประโยคนี้นางเอกพูดขึ้นด้วยน้ำตานองหน้า ระหว่างที่มีสัมพันธ์รักอยู่กับชายสูงวัย เรย์ พอร์เตอร์ ตอนนั้นทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ ทั้ง ๆ ที่เขาก็ได้บอกแล้วว่า ไม่คิดจะผูกมัดจริงจังด้วย แต่เมื่อเขาเผลอเล่าออกมาว่าได้ไปนอนกับผู้หญิงคนอื่นมา เธอก็ทำหน้าเหมือนถูกน้ำเย็นสาดลงโครมใหญ่ ลุกจากเตียงขึ้นมานั่งซบหน้าร้องไห้ แล้วสักพักก็เงยหน้าขึ้นมาถามเขา “ทำไมคุณไม่รักฉัน” แต่ก็ไม่ได้คำตอบที่พึงพอใจ จึงแต่งตัวเดินออกจากบ้านงามๆ ของเขามา

ก่อนหน้านี้เคยซื้อหนังสือมาอ่าน เรื่องนี้เขียนโดย Steve Martin ซึ่งเป็นดารา แล้วพบว่าเขาก็เป็นนักเขียนที่ดีคนหนึ่ง พอมากลายเป็นหนัง ก็สตีฟ มาร์ตินนี่แหละที่เอามาทำเป็นหนัง แล้วก็เล่นเองเป็นเรย์ พอร์เตอร์ ชายสูงวัย ผมขาวโพลนเป็นหิมะ แต่ก็หล่อ เท่ เนี้ยบสมวัยทุกประการ ภาษาในหนังสือก็ง่าย ๆ เป็นสำนวนแบบผู้ชายเขียน เล่าถึงความสัมพันธ์ระหว่างหญิงสาวคนหนึ่งกับผู้ชายสองคน และทำให้เห็นว่าความรักมันก็เป็นเหมือนกับวงจร มีเริ่ม แล้วก็มีจบ แล้วก็มีเริ่มใหม่ได้

แถมทำให้เห็นด้วยนะว่าจังหวะเวลานั้นเป็นเรื่องสำคัญ คนเดิมในเวลาที่ไม่ใช่ มันก็..กลายเป็นคนที่ไม่ใช่ไปได้นะ แต่เวลาผ่านไปแค่หกเดือนเอง คนเดิมนี่แหละ กลายเป็นคนที่ใช่เสียละ ทำให้นึกถึงหนังสือภาพเล่มนั้น ผู้หญิงเลี้ยวซ้าย ผู้ชายเลี้ยวขวา ที่หนุ่มสาวขี้เหงาสองคนอยู่ห้องติดกัน แต่ไม่ได้เจอกันซะทีจนถึงวันดีๆ วันของมัน อืมม์ จริงด้วยหละ หนังเรื่องนี้ก็ให้อารมณ์แบบนั้นเปี๊ยบเลย

เราดูจบแล้วก็ต้องไปเปิดหนังสือตอนท้ายๆ อ่านอีกรอบหนึ่งว่ามันจบแบบเดียวกับหนังหรือเปล่า สรุปก็คือคล้ายๆ กัน ชอบนางเอกมากๆ เพราะแคลร์ เดนส์ เล่นเป็นมิราเบลได้เหมือนมาก น่ารักน่าทะนุถนอม ที่เราชอบก็คือ มิราเบลยอมรับความผิดหวังและเสียใจจากความรักไว้อย่างคนยอมรับความจริง แล้วก็เดินหน้าต่อไป แล้วก็เปิดโอกาสให้กับรักครั้งใหม่ แล้วก็..เป็นมิตรกับคนรักเก่า แล้วก็..มองโลกในแง่ดีเสมอและเปิดรับกับทุกอย่าง

คำตัดพ้อที่ว่า “ทำไมถึงไม่รักฉัน” จึงไม่ได้เป็นวาจาอมตะ ไม่ได้เป็นคำขู่ ไม่ได้เป็นคำกล่าวโทษ ไม่ได้เป็นคำอ้อนวอนร้องขอ เพื่อให้ได้ความรักมา แต่ว่า..เป็นแค่คำพูดที่ทำให้เราเห็นความอ่อนไหวเปราะบางของหญิงสาว แต่แล้ว..หญิงสาวก็เลือกที่จะรักตัวเองให้ได้มากที่สุด และปฏิบัติต่อชีวิตของตัวเองอย่างดีที่สุด นี่แหละๆ คือคำตอบเดียวสำหรับความรักอันอมตะ

ดูแล้วก็มีกำลังใจ อยากมองโลกในแง่ดี เห็นว่า อื้มม์ นี่แหละ ชีวิต ต้องรับมือกับมันให้ได้แบบนี้แหละ

แล้วที่สำคัญ นางเอกแต่งตัวงามมากๆ ใครหนอคิดหาชุดสวยๆ มาให้มิราเบลใส่ไปทำงาน ตามท้องเรื่องแล้ว มิราเบลไม่ใช่คนที่มีเงินมากนัก ดังนั้นชุดที่ใส่ก็น่าจะเป็นแนววินเทจ ยกเว้นในช่วงหลังที่มาคบกับเรย์ พอร์เตอร์ จึงได้ของกำนัลเป็นของแบรนด์เนมจากเขาบ้าง แต่ก็..สวยคลาสสิคไปเสียหมดเลย ทำให้เราเกิดอารมณ์แต่งชุดกระโปรงสไตล์อเมริกันคลาสสิคแบบน้องมิราเบลมาทำงานบ้างเลยหละ