วันพุธที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2551

Love means never having to say you're sorry

“นี่ โอลิเวอร์ ฉันเคยบอกคุณหรือยังว่าฉันรักคุณ?” เธอถาม
“ไม่เคย เจน”
“ทำไมคุณไม่เห็นเคยถาม?”
“บอกตรงๆ นะ กลัว”
“งั้นก็ถามซะตอนนี้สิ”
“คุณรักผมไหม เจนนี?”
เธอมองหน้าผม และไม่ได้มีท่าทีเล่นลิ้นแม้แต่น้อย เมื่อถามกลับ
“คุณคิดว่าไงล่ะ?”
“คงรักมั้ง ผมว่า”
ผมจูบคอเธอ
“โอลิเวอร์?”
“ครับ?”
“ฉันไม่ได้รักคุณเฉยๆ นะ”
โอ พระเจ้า อะไรอีกล่ะนี่?
“ฉันรักคุณมาก ๆ เลย โอลิเวอร์”

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2551

ความงามของเธอเท่านั้นที่ฉันมองเห็น

Takes My Breath Away

(Claire Hamill) © Ackee Music, Inc.















Sometimes it amazes me,
how strong the power of love can be,
and sometimes you just take my breath away.

You've watched my love grow like a child,
sometimes gentle and sometimes wild,
and sometimes you just take my breath away.

Chorus:
It's too good to slip by,
it's too good to lose,
too good to be there just to use.
Gonna stand on a mountain top and tell the news,
that you take my breath away.

Your beauty is there in all I see,
and when I feel your eyes on me,
ooh don't you know you just take my breath away.

My life is yours,
my heart will be,
singing for you eternally,
oh don't you know you just take my breath away.

ไปดู Tuck กับ Patti เล่นคอนเสิร์ต พร้อมกับเล่นหูเล่นตาให้กันบนเวทีสิจ๊ะ โห..หวานหยด
http://www.youtube.com/watch?v=EeXepms78dw

วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551

จดหมายจากสาวสวนส้ม

เจ้าหญิงจ๊ะ

โอ คิดถึงจังเลย ที่โรงแรมนี้ไม่มีไวร์เลสจ้ะ เขามีอินเทอร์เน็ตให้ต่อทางสายโทรศัพท์ แต่อ่านวิธีการดูแล้วมันซับซ้อนเกินไป (สำหรับเรา) ตอนแรกว่าจะเอาโน้ตบุ๊กลงไปต่ออินเทอร์เน็ตที่ business center ข้างล่างแล้ว จะได้คุยกัน แต่คิดไปคิดมา ให้เจ้าหญิงเคลียร์งานก่อนดีกว่า ส่วนเราเขียนจดหมายหาดีกว่า เพราะยังไง ๆ ก็รู้ว่าคิดถึงกันอยู่แล้วใช่ไหมจ๊ะ

เอางี้นะ ลองอ่านผู้ชายคนหนึ่งบรรยายภาพผู้หญิงคนที่เขาตกหลุมรักดูสิจ๊ะ

“พ่อมองเธออีก ชุดแดงเพลิงช่างเย้ายวนใจ พ่อเห็นเรือนร่างที่กระเพื่อมน้อย ๆ ตามจังหวะหายใจ กระเพื่อมขึ้นลงเหมือนระลอกคลื่นที่กระทบหาดทราย ชุดแดงคือชายหาดของเธอ”

เป็นการเปรียบเทียบที่เห็นภาพเย้ายวนใจมากเลยนะจ๊ะ หากลองนึกภาพตาม มาจาก “ส้มสื่อรัก” จ้ะ เราอ่านจบตอนที่อยู่ในอาเจะห์นี่เอง เวลาที่ต้องทำงานเครียด ๆ ในสภาพแวดล้อมที่อยู่ไม่ค่อยสบาย พกหนังสือที่อ่านง่าย ๆ อ่านแล้วจิตใจเป็นบวกนี่ช่วยได้เยอะเหมือนกันจ้ะ

นักเขียนคนนี้เขียนหนังสือได้เก่งมาก มีสไตล์ที่น่ารัก เห็นว่าชอบเขียนเรื่องปรัชญาชีวิตยาก ๆ ให้วัยรุ่นเข้าใจได้ง่าย ๆ ยังไม่เคยอ่านเล่มอื่น ๆ ของเขาเลยจ้ะ เล่มนี้เขาเขียนเป็นจดหมายของพ่อที่เล่าเรื่องรักครั้งแรกของตัวเองให้ลูกชายฟัง โดยให้สมัญญาผู้หญิงคนนั้นว่า “สาวส้ม” และเริ่มเรื่องด้วยการปรากฏตัวอย่างลึกลับของสาวส้มที่เหมือนโผล่มาจากเทพนิยาย พบครั้งแรกก็ตกหลุมรักปั๊บ จากนั้นเขาก็ผูกเรื่องของสาวส้มให้เหมือนเป็นปริศนา และก็ติดตามค้นหาสาวส้มไปเรื่อย ๆ จนปริศนาว่าสาวส้มเป็นใคร ทำไมถึงทำอะไรแปลก ๆ คลี่คลายลงในตอนท้าย

การติดตามตัวละครตามหาหญิงในฝันในเรื่องนี้เป็นอารมณ์ที่อ่อนหวานเบิกบานมากนะ เคยอ่านดาวินชี่โค้ดไหมจ๊ะ เวลาที่ติดตามเรื่องแบบลุ้นระทึกเพื่อให้ปริศนาคลี่คลายตอนจบ เป็นการอ่านที่เหนื่อยมาก ลุ้นมาก และเครียดมาก แต่นี่ไม่เลยจ้ะ ตัวละครในเรื่องนี้มีอารมณ์ที่อินเลิฟแล้วน่าเอ็นดูจนขำ และชอบคิดและทำอะไรพิกล ๆ เหมือนตัวละครของเจ้าหญิงที่เขียนในประชาชาติน่ะจ้ะ ตอนที่ผู้ชายถามสาวข้างบ้านว่า “แล้วคุณแต่งงานทำไม ?” ประมาณนั้นเลย

เขาเขียนไว้ตอนนึงยังงี้ด้วยจ้ะ

“อีกครั้งที่พ่อต้องขอละเว้นรายละเอียดเกี่ยวกับการตามหาสาวส้ม ทั้ง ๆ ที่ได้ใช้เวลาไปหลายวันวนเวียนอยู่แถวถนนฟรองเนร์ และสามารถเขียนลำดับฉากได้เป็นหลาย ๆ หน้าทีเดียว.....

“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการปูพื้นก่อนเข้าประเด็นหลัก ซึ่งก็คือจุดที่พ่อได้พบหญิงสาวลึกลับผู้นี้เข้าจริง ๆ ไม่มีประโยชน์ที่จะบรรยายรายละเอียดตอนที่พ่อไม่ได้พบเธอ เพราะมันก็เหมือนกับการเล่าเรื่องคนซื้อลอตเตอรี่แล้วไม่ถูกรางวัล ลูกเคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับคนพวกนั้นบ้างล่ะ ? หนังสือพิมพ์เคยพาดหัวเรื่องคนที่ไม่ถูกรางวัลที่หนึ่งหรือเปล่า ? ...

“เอาละ...เรากำลังตามหาร่องรอยของหญิงสาวชุดส้ม ในเมื่อหัวใจของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือ “เธอ” เราสามารถลืมทุกอย่างที่ไม่ใช่ “เธอ” ไปได้ชั่วคราว เราสามารถขีดเส้นแบ่งระหว่างเธอกับคนอื่น ๆ นี้เมืองนี้ และเราสามารถหยิบผู้หญิงอื่นทุกคนมารวมไว้ในวงเล็บเดียวกัน”

จริง ๆ เล่มนี้เขาเขียนถึงประเด็นคำถามเกี่ยวกับการมีชีวิต การใช้ชีวิต และการจบสิ้นของชีวิตแบบง่าย ๆ ไว้ด้วย คงเหมาะสำหรับผู้อ่านวัยรุ่น แต่สำหรับเราสองคนคงก้าวข้ามพ้นการตั้งคำถามเรื่องพวกนั้นมาแล้ว

ส่วนสัปดาห์นี้ของเรา สำหรับทริปอาเจะห์นี้ ก็ถือว่าจบลงด้วยดี (happy ending ) ก็ว่าได้ เสาร์อาทิตย์เดินทางทั้งวัน ส่วนวันจันทร์ถึงพฤหัส ก็ทำงานประมาณวันละ ๑๒ ชั่วโมง (และมากกว่านั้น) แต่งานก็เสร็จเรียบร้อยไปหลายอย่าง ทำให้โล่งอกไปเยอะ (ถึงจะยังเสร็จไม่หมด แต่ก็..สัปดาห์หน้ายังมีนี่นา)

จะว่าไป สัปดาห์นี้เราก็เป็นสาวส้มเหมือนกันนะ เพราะเทียวแบกถุงส้มวันละกิโลสองกิโลกลับบ้านทุกวัน อย่างที่เล่าให้ฟังน่ะจ้ะ ความเป็นอยู่ที่นี่ไม่สะดวกนัก มาถึงคืนแรก พบว่า บ้านพักของที่ทำงานเขาเปลี่ยนบ้านพักของสตาฟผู้หญิงจากบ้านอูตันบายีไปเป็นบ้านมหารานี ซึ่งอยู่ในซอยมหารานี และเป็นบ้านที่เก่าโทรมกว่าบ้านอูตันบายีมากจ้ะ น้ำก็ไหลค่อย ก๊อกน้ำในครัวก็หลุดติดมือออกมาทุกทีที่เปิด ไปถึงคืนแรก แอร์ห้องเราเสียและหน้าต่างก็เปิดไม่ได้ แถมไม่มีพัดลม จึงต้องย้ายไปนอนห้องมารา ตื่นเช้ามา เจอแมลงสาบนอนตายเกลื่อนบ้านตั้งสองสามตัว คืนที่สอง ย้ายไปอยู่โรงแรม ปรากฏว่าห้องไม่พอ ต้องนอนกับมาราอีก และแอร์เสียอีก ต้องขอพัดลมเขามาเปิด และมาราพบว่า ผ้าปูที่นอนเขาไม่ได้ซัก เพราะแอบเจอเส้นผมอยู่ในผ้าห่ม จึงได้พากันอพยพกลับไปอยู่บ้านของออฟฟิศตามเดิม ซึ่งคราวนี้ เขาซ่อมแอร์แล้ว แต่เราเจอทาก ๒ ตัวในห้องน้ำของเรา (กรี๊ด) คืนที่สี่ พอกลับบ้านมา ปรากฏว่าที่ออฟฟิศดันอุตริให้คนเข้าไปทาสีห้องนอนเราใหม่ จนเหม็นสีไปทั้งห้อง ต้องย้ายไปนอนห้องมาราอีก ปรากฏว่าที่ห้องมารา มีช่องแสงเหนือหน้าต่าง ทำให้แสงไฟจากนอกบ้านส่องเข้ามาได้ เหมือนนอนเปิดไฟทั้งคืน เฮ้อ...

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น.. เราก็พากันหัวเราะกับเรื่องเครียด ๆ บ้า ๆ บอ ๆ นี้กันไปได้ก็เพราะส้มนี่แหละจ้ะ เราจะเอาส้มที่ซื้อมาไปล้างแล้วแช่ตู้เย็นไว้ ทุกเช้าเย็นก็จะเอาส้มมาคั้นกินกันสด ๆ ด้วยที่คั้นน้ำส้มที่อุตส่าห์หอบหิ้วติดกระเป๋าเดินทาง กลิ่นส้มจะหอมฟุ้งไปทั่วห้อง ยิ่งคิดถึงเรื่องส้มสื่อรักที่อ่านจบไปใหม่ ๆ ก็รู้สึกว่า ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับสัปดาห์นี้มันสอดคล้องต้องกันพอดีเลย (ส้ม) แต่ละวันที่เหนื่อย เครียด เซ็ง หงุดหงิด จึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดีด้วยชั่วขณะเล็ก ๆ แบบนั้นจนถึงวันนี้

พรุ่งนี้ก็จะเดินทางต่อเพื่อกลับบ้านแล้วล่ะ ดีใจจัง ว่าง ๆ ก็...อ่านส้มสื่อรัก แล้วคั้นน้ำส้มจากส้มเย็น ๆ กินบ้างนะจ๊ะ ชีวิตมันจะได้น่ารักขึ้น (จากที่น่ารักและหอมหวานพอประมาณอยู่แล้ว)

ด้วยรักและคิดถึง

สาวชาวสวน (ส้ม) ของเจ้าหญิง (ที่จะเอาผู้หญิงอื่นทุกคนในโลกนี้ไปใส่รวมไว้ในวงเล็บ และเรียกรวม ๆ กันว่า “ผู้หญิงคนอื่น” ทั้งหมด)

ของสวย ๆ ของคนสวย

เจ้าหญิงจ๊ะ

ขออวดของสวยที่บังเอิญไปเห็นจากนิตยสารประจำสายการบิน silk air จ้ะ เป็น USB drive ขนาด 1 gig ผลิตโดยสวารอฟสกี้จับมือกับฟิลิปส์ อันนี้คืออันที่เราชอบจ้ะ สามารถเอาไปสวมเป็นสร้อยคอได้นะ แต่พอเราถอดออกมา แล้วก็...แต่นแต๊น... กลายเป็นตัวเก็บไฟล์ข้อมูลได้ ดูแล้วเท่เหมือนนางฟ้าชาร์ลีเลยเนอะ
รูปหัวใจอีกแบบเป็นแบบฝังเพชร ส่วนอีกแบบเป็นรูปกุญแจ ซึ่งสามารถเอาไปใช้งานเป็นกุญแจจริง ๆ ได้ด้วยนะ มีทั้งกุญแจแบบคริสตัลและแบบฝังเพชร










เห็นราคาในเว็บบอกว่า อยู่ที่ 179 เหรียญสหรัฐฯ จ้ะ ซื้อกล้องดิจิตอลได้ตัวนึงเลยเนอะ (กลืนน้ำลาย)

แต่มันเหมาะกับคนสวย ๆ อย่างเรามากเลยนะจ๊ะ ว่าไหม ฮิ ๆ

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551

เจ้าหญิงและฉัน

ขอสมมติว่านี่คือเจ้าหญิงกับฉันก็แล้วกัน...

เป็นภาพที่เห็นแล้วโดนใจมากจ้ะ เพราะชีวิตเรามันก็ไม่ได้สวยงามและราบรื่นไปเสียทุกขณะใช่ไหม แต่ในคราวที่ถูกรุมล้อมด้วยความทุกข์ เศร้า และปัญหาสารพัน ฉันก็อยากมั่นใจว่าฉันมีเจ้าหญิงประจำตัวอยู่ และเจ้าหญิงจะมีไหล่ขององครักษ์ประจำกาย (ฉันเองไง) ไว้ให้พักพิงอยู่เสมอ

อาจไม่ต้องพูดอะไรกันมาก ไม่ต้องปลอบใจกัน แค่ได้อยู่ด้วยกันเงียบๆ และรู้ว่าเธออยู่กับฉัน มันก็คงพอแล้ว แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด

นี่เป็นความรู้สึกที่ได้เห็นภาพนี้จ้ะ

ภาพนี้เอามาจากนิตยสารของสายการบินการูดาประจำเดือนธันวาคม 2007 ในบทความที่เขียนถึงศิลปินอินโดฯคนหนึ่งชื่อ Firman Ichsan ที่เป็นช่างภาพด้วย ทำงานเป็นภัณฑารักษ์ด้วย เขากำลังแสดงงานชุด Solitude ที่จาการ์ตาช่วงเดือนธันวาคม 07 – มกราคม 08 นี้ เสียดายจ้ะที่เราไม่ได้ผ่านจาการ์ตาในทริปเดือนที่แล้วและทริปนี้ในเดือนนี้

เห็นได้ว่างานเขียนของเขามีอิทธิพลจากศิลปินยุโรปมากเลย รู้สึกจะเรียนมาจากอัมสเตอร์ดัมด้วยนะ คุณศิลปินบอกว่าตั้งใจจะสะท้อนภาพของความเปลี่ยวเหงาของคนยุคใหม่ในสังคมเมืองจ้ะ เขาว่าสิ่งที่เด่นชัดที่สุดในอารมณ์ของมนุษย์ยุคสมัยใหม่ที่เขาสะท้อนออกมาบนผืนผ้าใบ ก็คือ ความคลุมเครือของอารมณ์ ความโดดเดี่ยวในสีสดใส ความใกล้ชิดในโทนสีหม่นมัว ความสะดวกสบายในความน่าเบื่อ ความเป็นผู้หญิงกับความเป็นผู้ชายหลอมรวมกัน การพึ่งตนเองได้ในความโดดเดี่ยว และพลังงานด้านบวกผสมกับด้านลบ เป็นต้น

เขาบอกว่า แม้ว่าภาพของผู้คนในภาพเขียนชุดนี้จะอยู่ในอิริยาบถที่นิ่ง ๆ และดูเหงาโดดเดี่ยว แต่ก็ยังให้ความรู้สึกว่าบุคคลในภาพมีการเคลื่อนไหว จากตำแหน่งของมือ ศีรษะหรือส่วนอื่นของร่างกาย ภาพส่วนใหญ่จะเป็นภาพคนลอยๆที่ไม่มีฉากหลังใดๆ จะมีอย่างมากก็แค่เก้าอี้และโซฟาโดดๆ จะสั
งเกตเห็นด้วยจ้ะว่าใบหน้าของคนในภาพจะไม่สมบูรณ์ ดวงตา จมูกและปากจะดูเลือนๆ และหน้าซีกหนึ่งจะชัดส่วนอีกซีกหนึ่งจะเบลอ

“เราต้องการสถานการณ์ที่เราสามารถก้าวถอยหลัง พักผ่อน ขัดเกลาความรู้สึกของเรา เพื่อทบทวนตัวเองและไม่รู้สึกแปลกแยกจนเกินไป” คุณศิลปินบอกอย่างนั้นจ้ะ

ชอบวิธีการใช้สีของเขา และการวาดเส้นรูปเหลี่ยมๆ ผสมกับเส้นโค้งน่ะจ้ะ ดูรูปอื่นด้วยสิจ๊ะ

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2551

ฤดูฝันของเราต้องยาวนานกว่า

เจ้าหญิงที่คิดถึง

จะแปลกไปไหมจ๊ะที่ยังคิดถึงเจ้าหญิงอยู่มาก แม้ว่าวันนี้จะได้คุยกันทางหน้าจอ ได้คุยกันทางโทรศัพท์ และได้ส่งข้อความหากันอีกด้วย แต่นี่เป็นการคิดถึงทางจดหมาย ซึ่งถ้าไม่เขียนจดหมาย ความคิดถึงก็คงไม่บรรเทาเบาบางลงไปได้ ต่อให้ได้ติดต่อกันด้วยวิธีอื่น ๆ เราคิดว่า การสื่อสารในแต่ละวิธีที่ทำให้เราติดต่อกันอยู่อย่างสม่ำเสมอนั้น มันก็มีหน้าที่เฉพาะของมัน การเขียนจดหมายถึงเจ้าหญิงจึงเป็นสิ่งที่โทรศัพท์ เอ็มฯ และภาพถ่ายไม่อาจแทนที่ได้คงเพราะการเขียนจดหมายทำให้ได้พร่ำเพ้ออะไรไปได้ยืดยาวโดยไม่ถูกขัดคอกลางคันไงจ๊ะ ฮิๆ

เจ้าหญิงจ๊ะ เราอยากคุยให้ฟังถึง "ฤดูฝันอันแสนสั้น" ของ "เงาจันทร์" ที่เล่าให้ฟังว่าอ่านจบไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน อ่านจบแล้วก็ไม่รู้จะเศร้าดีหรือไม่ เพราะผู้เขียนก็บอกไว้ตั้งแต่ในคำนำแล้วว่าเรื่องนี้เป็นโศกนาฏกรรม เรื่องมันก็เลยเศร้าแบบเดียวกับเรื่องสั้นเกือบทุกเรื่องในรวมเรื่องสั้น "ปรารถนาแห่งแสงจันทร์" เล่มที่เราชอบกัน แต่เมื่ออ่านจบแล้ว เรารู้สึก..ยังไงดี..สะทกสะท้อน..ทอดถอนใจ แบบไม่ได้เศร้าไปกับชะตากรรมของตัวละครนะจ๊ะ(เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีการพลัดพราก ตายจาก และสูญเสีย)แต่เศร้าเมื่อได้มองเห็นผลลัพธ์ของการที่คนเราปล่อยให้แรงปรารถนาเกิดขึ้นและยอมพาตัวเองตกหลุมปรารถนานั้นอย่างลึกจนมืดบอดต่อด้านอื่นๆของความรักน่ะจ้ะ จนทำให้ต้องย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองด้วย

เจ้าหญิงจ๊ะ จำได้ไหมที่คุยกันเมื่อวาน ตอนที่บอกเราว่า ถ้าจะได้พบกันจริงๆ ก็อยากให้เป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ พร้อมทุกอย่าง ลงตัวทุกอย่าง อยากให้เป็นการพบกันแบบมีสติ ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์พาไปแบบเด็กๆ ที่โผเข้าหากันแล้วก็ละทิ้งความรับผิดชอบด้านอื่นๆทุกอย่าง เพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงยิ่งกว่าเดิม แล้วก็ต้องมาตามแก้ปัญหาเรื่องปวดหัวในภายหลัง เจ้าหญิงบอกด้วยว่า เรื่องการจะได้พบเจอกัน สำหรับเราไม่มีอะไรต้องรีบร้อนเลย รอเวลาที่ดีที่สุดเหมาะที่สุดดีกว่า เพราะสำหรับเรายังมีเวลาอีกเยอะ เราฟังแล้วก็..รู้สึกซาบซึ้งมาก และเห็นด้วยมากๆ จ้ะ เฮ้อ ทำให้เรามีความหวัง และรอวันนั้นด้วยความรู้สึกที่อ่อนหวานมากจ้ะ

อ่าน "ฤดูฝันอันแสนสั้น" จบแล้ว บวกกับการได้คุยกันเมื่อคืนวานนี้ พอมานั่งทบทวนดู ทำให้เรารู้สึกว่า ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เราพูดถึงความปรารถนาที่มาพร้อมกับความรักอยู่มากอาจเป็นเพราะ..เป็นความรู้สึกที่สดใหม่ เป็นการค้นพบใหม่ที่หอมหวานและน่าตื่นเต้นมั้งจ๊ะ เราถึงมีอาการ "เพ้อหาทุกเช้าค่ำ" แล้วก็ "เหมือนตกหลุมรักอีกครั้ง" ที่เป็นหลุมเดิมกับคนที่รักคนเดิม แต่ตกลงลึกลงไปอีก..และอีก

แต่พอมาถึงตอนนี้ สำหรับเราก็เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าความปรารถนาอย่างเดียวนั้นไม่พอ การตกหลุมรักหลุมเดิม..ที่ลึกกว่าเดิมนั้นก็ไม่พอ แต่มันจะต้องเป็นหลุมที่กว้างด้วย เหมือนถ้าจะตกหลุมรัก ก็ต้องขุดขยายหลุมออกไปให้กว้างพอให้คนสองคนอยู่ในนั้นด้วยกันได้โดยไม่อึดอัด และมีสิ่งอื่นๆ อีกหลายอย่างอยู่ในนั้นด้วยนอกจากความปรารถนาน่ะจ้ะ เช่น ความรับผิดชอบ ความใจเย็น การรอคอย การคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา การมีสติและความเป็นผู้ใหญ่ ฯลฯ เราอยากให้เป็นอย่างนั้นนะ เพราะเราอยากให้ความสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ที่ดีและยืนยาวมากๆ ไง

ในเรื่องฤดูฝันอันเเสนสั้นนี้ เราชอบภาคแรกมากๆ จ้ะ เป็นภาคที่พูดถึงตอนที่ชาญ(พระเอก)กับฝนโปรย(นางเอก)รักกัน เป็นความรักที่เต็มไปด้วยความปรารถนา เป็นความรักและปรารถนาแบบลืมตาย แล้วผู้เขียนเขาบรรยายความรักของคนสองคนในภาคนี้ได้อย่างสวยมากๆ เป็นภาพหมู่บ้านชนบทที่สวยและโรแมนติกสุดๆ อ่านแล้วทั้งฝันทั้งเคลิ้มตาม ทำให้นึกถึงการบรรยายฉากในชนบทที่ชวนฝันในเรื่องสั้นของอุษณา เพลิงธรรม สุวรรณี สุคนธา และประภัสสร เสวิกุลน่ะจ้ะ

ยกตัวอย่างตอนนึงนะ เป็นตอนที่ชาญเห็นฝนโปรยเข็นรถบรรทุกฟืนที่หนักอึ้งอยู่คนเดียวลงมาตามถนนที่ลาดชัน แต่รถมันแล่นไปข้างหน้าโดยเร็วและฝนโปรยก็ไม่ยอมปล่อยรถเข็นให้หลุดมือ จึงถูกรถลากไปข้างหน้าจนคว่ำอยู่ในดงอ้อกอแขม แล้วก็บรรยายฉากฝนโปรยล้มไว้ว่า

"หล่อนล้มคุดคู้อยู่กลางหมู่ดอกขัดมอญที่มีดอกเล็กๆสีม่วง ดอกไม้เล็กกระจิริดเหล่านั้นแผ่ออกเป็นดงกว้างราวกับนางไม้มาลืมผ้าคลุมไหล่ของหล่อนทิ้งเรี่ยราดไว้ ฝนโปรยคงเจ็บทีเดียวเพราะเขาได้ยินเสียงหล่อนร้องคราง หล่อนใช้ผ้าโพกผมไว้แน่นหนา เขาจึงเห็นเงาดอกแขมพลิ้วไหวเป็นเงาจางสีม่วงอยู่บนลำคออันกลมกลึงที่มีผมอ่อนปลิวรุ่ยร่าย แล้วเขาได้ยินเสียงลมยามเย็นลู่ต้นหญ้าไหวเอนซู่ซ่าในความเงียบ ยามค่ำระหว่างเขาและหล่อนช่างนุ่มละมุน ชั่วครู่หนึ่ง ทั้งคู่ต่างมองดูกันเหมือนไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน...สำหรับเขามันเป็นความรู้สึกอันประหลาดล้ำ..."

ผู้เขียนเขียนถึงเวลาที่ชาญและฝนโปรยอยู่ด้วยกันได้อย่างโรแมนติกและอีโรติกตลอดทั้งภาคหนึ่งเลยนะจ๊ะ เป็นฉากที่สวยเหนือจริงมาก ตอนที่ชาญไปช่วยฝนโปรยบิดผ้าที่ริมลำธาร คือฝนโปรยต้องซักมุ้งและผ้าห่ม ก่อนจะตากต้องให้ชาญมาช่วยบิดผ้าให้หมาดดีน่ะจ้ะ เขาก็บรรยายให้สองคนถือชายผ้ากันคนละด้าน แล้วก็บิดไปหมุนตัวเข้าหากันไปเหมือนคนเต้นรำจนกระทั้งหมุนตัวมาแนบชิดกัน เป็นต้น และมีฉากที่สองคนพากันไปเก็บหอยขมและเก็บดอกไม้น้ำสารพัดชนิดมาปลูก ก็จะว่ายน้ำในบึงคลอเคลียกันไป

ฉากที่เราชอบการบรรยายมากอีกฉากหนึ่งคือ ช่วงแรกของเรื่อง ตอนที่ฝนโปรยเอาวัวไปเลี้ยงกลางทุ่ง แล้วโดนแม่วัวเอาเขาเฉี่ยวเสื้อชาวนาสีดำขาดตั้งแต่กลางลำตัวด้านหน้าจรดสาบด้านข้าง ตอนนั้นเพราะคิดว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นไงจ๊ะ ฝนโปรยก็เลยถอดเสื้อออกเปลือยอกเล่นกลางทุ่ง โดยที่มีชาญแอบดูอยู่หลังต้นกระท้อน (โอ..เร้าใจไหมจ๊ะ)

"แล้วสิ่งเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น หล่อนถอดเสื้อตัวนั้นออกขว้างทิ้งไป หล่อนยืนอยู่หน้านังวัวราวกับจะอวดรูปโฉมอ้อนแอ้น หน้าอกอันเต่งกลมกลึงของหล่อน หล่อนยกแขนเรียวทั้งสองข้างขึ้นสูง แล้วก็หมุนไปราวกับต้องการจะเริงระบำ สำหรับชาญแล้ว ดอกไม้ทั้งเนินเขาแห่งนั้นได้พลันจางหายไปสิ้น เขาเห็นแต่ร่างอันบอบบางราวกลีบดอกไม้ เห็นถันเนียนผ่องราวผลส้มสีทอง... หล่อนทอดร่างคว่ำทรวงอกเปลือยลงแนบกับหมู่ดอกไม้ ชาญมองเห็นเพียงแผ่นหลังลาดเนียนของหล่อน หล่อนนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับเพลินไปกับความฝัน แล้วหล่อนก็ลุกขึ้นวิ่งไปที่ตะกร้าผ้าที่หล่อนเตรียมมาซักเพื่อค้นหาเสื้อมาใส่ หล่อนวิ่งมาเฉียดใกล้ต้นกระท้อนโบราณที่ชาญซ่อนตัวอยู่ด้วย...ชาญได้แต่กลั้นใจ ครั้งนี้เขาเห็นร่างอรชรผุดผ่องของหล่อนเต็มตาด้วยอรุณเริ่มแจ่มแจ้ง และนับแต่นั้น เขาก็ฝันแต่ว่าจะได้พบหล่อนในทุกๆเช้าของชีวิตตลอดไป...

"มันเป็นความรู้สึกอันแปลกประหลาด เหมือนเขาหลับไปแล้วได้เห็นนางไม้...

"เขาไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นความรัก เพราะเขาไม่กล้าที่จะคิดเช่นนั้นในช่วงเวลาอันแสนสั้น มันอาจจะเป็นความซาบซึ้งในความงามจากเบื้องลึกของหัวใจ เพราะเขาได้เห็นเอวองค์ที่ชุ่มน้ำค้างของหล่อน ได้เห็นเนินหน้าท้องที่เรียบเนียนเหน็บผ้าถุงไว้หมิ่นเหม่ เขาปฏิเสธกับตนเองว่ามันไม่ใช่ทั้งความรักและความใคร่ผสมกัน เพราะหล่อนไม่มีท่าทีจะยั่วยวนใครนอกจากมีความสุขท่ามกลางสัมผัสจากธรรมชาติ กระนั้น บ่อยครั้งเขาหลับตาลงก็เห็นองค์เอวเนินนมเอิบอิ่มของหล่อน ครั้นอยู่ในความเงียบ เขาก็ได้ยินเพลงที่หล่อนร่ำกระซิบ..."

อีกตอนนึง ทำให้เราคิดถึงวิธีที่เจ้าหญิงเขียนฉากอีโรติกในงานของตัวเองมากทีเดียว เราคิดว่า..อืมม์ ฉากเหล่านั้นก็จะต้องได้รับอิทธิพลจากงานเขียน(และบรรดาเพลง) รุ่นเก่าๆ ที่สวยคลาสสิก แบบนี้จ้ะ

"คงมีแต่ดวงจันทร์ที่มองเห็นเขาเปลื้องเสื้อชาวนาของหล่อนออก เขาสัมผัสทรวงอกอันเคยเป็นภาพอันตราตรึงอยู่ในฝันด้วยความรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กน้อยผู้ได้กลับนั่งอยู่ริมฝั่งน้ำใต้เงาต้นก้ามปูโบราณและกำลังโลมลูบดินเหนียวเต็มกำมือเพื่อจะเคล้นคลึงให้มันเป็นรูปปั้นต่างๆ ตามใจชอบ เนื้ออกหล่อนเนียนนุ่มและแข็งหยุ่นมือเหมือนดินเหนียวอย่างดีที่เขาเคยเฝ้าผสมคลุกเคล้าจากริมน้ำ เพียงแต่กลิ่นอุ่นหวานและหอม เด็กน้อยเช่นเขาจึงคลึงเคล้าซุกไซ้ด้วยดื่มด่ำโดยไม่ได้คำนึงว่าจะปั้นให้มันเป็นรูปอันใด มีแต่ปรารถนาที่จะสัมผัสประเล้าประโลมด้วยเสน่หาอันเอ่อล้นท้นใจ

"ไกลออกไปจากที่นั่น ป่าส่งเสียงของป่า ลำธารครวญเพลงผ่านเงาจันทร์ใต้พุ่มพฤกษ์ เป็นเสียงกระซิบกระซาบรำพันด้วยบทเพลงลี้ลับ ผ้าซิ่นชาวนาของหล่อนหลุดง่ายดาย ซังข้าวแข็งๆ ทิ่มตำร่างอันสั่นสะท้านของหล่อน หมู่ดอกผักบุ้งสีม่วงที่บานสลอนอยู่บนรายข้าวถูกมือหล่อนอันกำเกร็งปัดป่ายกระจัดกระจาย หล่อนกำมันแน่นแล้วก็ปล่ยอให้มันสั่นไหวอยู่ใต้ลมหนาว.."

ฝนโปรยยังเป็นคนชอบดอกไม้มาก ทั้งเรื่องนี้ผู้เขียนเขียนถึงดอกไม้ที่บานพราวเต็มท้องทุ่งและเต็มบึง และยังพูดถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ด้วย เรื่องในภาคแรกจบลงตรงที่ฝนโปรยขอให้ชาญทำในสิ่งที่ถูกต้อง คือไปแต่งงานกับแม่ทิพย์ซึ่งเป็นคู่หมายแต่เดิมของตนแล้วฝนโปรยก็ท้องไม่มีพ่อและเลี้ยงลูกไปตามลำพัง

พอเข้าภาคสอง อารมณ์ของเรื่องก็เปลี่ยนไปทันทีเลยจ้ะ ดูเหมือนผู้เขียนอยากจะยกหน้าหนังสือลงโทษตัวละครที่ได้กระทำพลาดพลั้งไว้ในภาคแรก ผู้เขียนเขียนไว้ในคำนำด้วยนะจ๊ะว่า "บุคลิกของชาญตัวละครสำคัญในเรื่องซึ่งสร้างความผิดพลาดจนตลอดทั้งเรื่องอย่างเหลือเชื่อนั้น เกิดจากความตั้งใจของข้าพเจ้าเอง เป็นการให้ร้ายผู้ชายทั้งโลกด้วยความตั้งใจ" และการบรรยายธรรมชาติในภาคนี้เลยสะท้อนความโศกเศร้าของชาญเป็นหลัก ภาคนี้จึงเศร้าทั้งอารมณ์ของฉากและชะตากรรมของตัวละคร พี่ชายรักน้องสาวตัวเอง ลูกสาวรักพ่อตัวเอง

ตัวละครของเงาจันทร์ตายง่ายกันเหลือเกินจ้ะ สงสัยจังว่าทำไมคนเขียนถึงเศร้านักและชอบให้ตัวละครพ่ายแพ้ต่ออารมณ์ความรู้สึกจนทำร้ายตนเองและคนอื่น เขาเขียนไว้ในคำนำอีกจ้ะว่า "หวังว่าผู้อ่านจะค้นพบเมื่ออ่านจบว่า พวกเขาคือมนุษย์ธรรมดาที่อ่อนแอต่อกิเลสตัณหาเหมือนเราๆ ท่านๆ นั่นเอง" ภาคนี้มันเศร้า เจ้าหญิงไปอ่านเอาเองนะจ๊ะ เราจะส่งหนังสือไปให้ทางไปรษณีย์

ส่วนเราหรือจ๊ะ แม้ว่าจะสะทกสะท้อนใจกับชะตากรรมของตัวละครในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความปรารถนาที่ท่วมท้นอยู่ในหัวอกคลี่คลายลงเลยจ้ะ เหมือนชาญ..เราก็ยังอยากจะระดมจูบทุกตารางนิ้วบนใบหน้าของผู้หญิงที่เราโหยหา หลังจากที่เขาไประดมจูบดอกเข็มขาวมา จนกลิ่นดอกเข็มขาวและน้ำค้างจากกลีบดอกมาติดอยู่ที่ใบหน้าของเราไปด้วย ยังอยาก "คลึงเคล้าเนินอกนุ่มประหนึ่งดินเหนียวของหล่อนที่เขาเคยขยี้ขยำเล่นในวัยเด็กนั้นอีกอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า"

เพียงแต่ว่า..เราคงไม่อยากเอาความปรารถนาเป็นตัวนำทางจนทำให้มืดบอดต่อสิ่งอื่นไงจ๊ะ ถึงอย่างไรเราก็รักที่จะทะนุถนอมความปรารถนาที่มีต่อเจ้าหญิงเอาไว้นานๆ นะ เพราะมันทำให้เวลารอเป็นการรอคอยที่อ่อนหวานมากทีเดียวจ้ะ

ฝันถึงเจ้าหญิงทุกคืนค่ำ
สาวชาวสวน

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2551

ภาพถ่ายบนปกหนังสือ

เมื่อวานเข้าไปอ่านเว็บ faylicity.com เขาทำลิงค์ไปที่บล็อกของชายผู้หนึ่งนามว่า Joseph Sullivan ที่รู้สึกเหมือนจะเป็นผู้พิมพ์หนังสือ the book design review เขามีอวดปกหนังสือที่เขาว่าสุดยอดแห่งปี 2007 จ้ะ ดูแล้วก็เป็นปกหนังสือที่น่าสนใจมาก และเต็มไปด้วยไอเดียและความคิดสร้างสรรค์สารพัน จนสงสัยว่าคิดได้ไงเนี่ย ลองไปดูสิจ๊ะ แต่ก็ สไตล์ปกหนังสือเหล่านั้นก็ไม่ใช่แนวที่เราชอบเสียทีเดียวทั้งหมดน่ะจ้ะ

ประกอบกับที่เจ้าหญิงจะมีหนังสือเป็นของตัวเอง (อีกเล่ม) ในเร็ววันนี้ เราก็อดตื่นเต้นไปด้วยไม่ได้ ก็เลยอยากอวดรูปปกหนังสือสไตล์ที่เราชอบมาให้ดูเผื่อเป็นไอเดียจ้ะ อย่างที่คุยกันนะ ว่าชอบปกหนังสือที่มีรูปถ่ายประดับด้วยลวดลายสวยๆ และมีสีสันนิดหน่อย คิดว่าอาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับปกหนังสือของเจ้าหญิงก็ได้นะ เพราะมันดูเป็นผู้หญิงๆดีน่ะจ้ะ

เอาเล่มแรกก่อนนะ The God of Small Things ของอรุณธาตี รอย รู้สึกเล่มแปลภาษาไทยก็จะปกแบบนี้ด้วยนะ มันดูเรียบแต่คลาสสิคมากเลยว่าไหม จังหวะของดอกไม้สีชมพูเล็กๆ ตรงกลางปกจัดวางระหว่างตัวหนังสือน่ะ ดูลงตัวดีด้วย ทีนี้อีกกลุ่มหนึ่งที่แนวคล้ายๆกันก็คือ ปกของหนังสือ The Friday Night Knitting Club ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไรไม่รู้ คงเป็นนิยายแนวผู้หญิงๆน่ะ เป็นอีกเล่มที่เรียบแต่เก๋ และสื่อถึงชื่อเรื่องมากเลย เราชอบที่พื้นดำที่ขับสีของกลุ่มไหมพรมให้เด่นออกมา แล้วมีแซมลายกราฟฟิคอันเล็ก ๆ ชื่อนักเขียนที่อยู่บนกลุ่มไหมพรมสีชมพูตรงกลางก็ดูดีด้วยนะจ๊ะ

ต่อไปจะขออวดปกหนังสือของ Dai Sijie ที่สวยงามทุกเล่ม เล่มแรก คือ Balzac and the Little Chinese Seamstress ที่ข้าพเจ้าอ่านไปได้ครึ่งหนึ่งแล้วยังไม่จบ เล่มนี้มีหลายเวอร์ชั่น แต่ก็เอามาให้ดูทั้ง 3 ปกเลย ค้นตั้งนานกว่าจะหาเวอร์ชั่นแรกที่เราชอบที่สุดมาให้ดู ปกแรก รู้สึกจะเป็นปกล่าสุดนะจ๊ะ ที่มีหลอดด้าย 3 หลอดสีสันตัดกันแรงดู แล้วจังหวะการวางตัวหนังสือชื่อเรื่องกับชื่อผู้เขียนก็ลงตัวดีนะจ๊ะ ปกที่ 2 มีรูปรองเท้าแดงแช้ดเด่นเป็นสง่า อันนี้ก็ไม่เท่าไรนะ แต่สีสวยดี ส่วนปกแรก ที่ว่าชอบมาก สีหวานกว่าเพื่อน มีรูปรองเท้าแบบจีนและหลอดด้ายน่ะจ้ะ ดูสื่อความหมายในเรื่องและมีรายละเอียดมากกว่าปกอื่น

หนังสืออีกเล่มหนึ่งของ Dai Sijie คือ Mr. Muo's Travelling Couch เป็นเรื่องของชาวจีนโพ้นทะเลเดินทางกลับไปตามหาสาวคนรักเก่าที่ติดคุกอยู่ในประเทศจีน ดูปกนี้ก็จัดวางเรียบๆ แต่ดูสิว่ารูปถ่ายบนภาพปกนั้นดูเคลียร์แล้วก็มีพลังดึงดูดความสนใจมากทีเดียวนะ เราว่าที่ทำให้ดูดีอีกอย่างหนึ่งคือ ฟ้อนท์ชื่อเรื่องน่ะจ้ะ ทำเป็นตัวเอนๆสวย ๆ ก็ดูอ่อนหวานดี


อีกปกหนึ่งที่เรียบมาก แต่ให้รูปถ่ายเป็นตัวดึงความสนใจก็คือเล่มนี้ Water for Elephants ดูสิจ๊ะว่าปกแทบไม่มีอะไรเลย แต่เส้นของม่านกับโค้ตสีแดงช่วยทำให้ดูเด่นนะ หนังสือ I am No One You Know รวมเรื่องสั้นของ Joyce Carol Oates ก็เรียบๆ เหมือนกัน แต่ดูดี บอกไม่ถูก เหมือนรูปมันมีเรื่องราวมั้ง กับอีกเล่มหนึ่ง Rape A Love Story ก็สไตล์เดียวกันเลย ผู้หญิงนอนอยู่กลางปกดูลอยๆ หลอนๆ ดีนะ แล้วเอาชื่อเรื่องมาแปะไว้ข้างบนผู้หญิง อืมม์

มาดูพวกที่เป็นรูปขาวดำมั่งดีกว่าจ้ะ เล่มนี้ Purple Hibiscus ของนักเขียนชาวไนจีเรีย Chimamanda Ngozi Adichie (ยังสาวๆอยู่เลย ดังเสียแล้ว) คิดถึงเจ้าหญิงตรงที่เอารูปดอกชบามาประดับนิดๆ และเก๋ตรงลายกราฟฟิคสีๆ ด้านล่างน่ะจ้ะ มันจะคล้ายๆกับปกเรื่อง Memories of My Melancholy Whores ของ Gabriel Garcia Marquez น่ะ มีการเอาดอกไม้มาประดับภาพถ่ายด้วยนะ (เหมือนสไตล์ใครเอ่ย) แล้วก็น่าสนใจตรงแถบขาวแดงที่คาดมาเป็นชื่อเรื่องน่ะจ้ะ ก็ดูสวยไปอีกแบบ

ส่วนเล่มนี้ Innocent World ของ Ami Sakurai เป็นนักเขียนชาวญี่ปุ่นเขียนแนวอีโรติกน่ะจ้ะ เป็นเรื่องเด็กสาวที่หารายได้พิเศษโดยการไปขายตัวนอนกับพวกนักธุรกิจ แล้วก็มีความสัมพันธ์กับพี่ชายของตัวเองเพื่อทดแทนความรักและความปรารถนาที่ต้องการ (โอ..โหดไหม) ดูปกแล้วก็..ไม่ต้องบรรยายมากนะ แต่อันเดอร์แวร์สีดำดูเด่นดี ให้ความรู้สึกตัดกับชื่อเรื่องสีชมพูด้วยนะ อีกเล่มนึงเป็นแนวอีโรติกเหมือนกัน The Scent of Your Breath ของ Melissa P.เป็นนักเขียนอิตาเลียนนะ ก็พูดถึงความปรารถนาและเขียนถึงคนรักของตัวเองที่เก็บลมหายใจของเธอเอาไว้ในขวดแก้ว เพื่อเอามาเปิดดมตอนที่เมคเลิฟกัน (อืมม์) ปกแนวเดียวกันกับเรื่องเมื่อกี้เลย แถมชื่อเรื่องเป็นสีชมพูอีกจ้ะ ที่คล้ายๆกันอีกเล่มคือ Slow Moon ที่ปกก็ไม่มีอะไรเลย แต่รูปสวยและอ่อนหวาน ให้บรรยากาศที่เวิ้งว้าง เด่นขึ้นมานิดเดียวตรงใช้ชื่อเรื่องสีฟ้าเนี่ยจ้ะ

มีอีกบางปกที่อยากให้ดูจ้ะ เพราะเห็นว่ามันน่ารักดี ก็คือเล่ม Now You Love Me กับ Getting Warmer เล่มแรกนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับเด็กและความสัมพันธ์กับพ่อ รูปก็ดูน่ารักดีนะ ท่าทางจะเข้ากับเนื้อเรื่อง แต่ก็ไม่ค่อยชอบกรอบที่ล้อมชื่อเรื่องเท่าไหร่จ้ะ และดูตัวหนังสือมันเยอะไปหน่อย ส่วนเล่มหลังเป็นนิยายแนวผู้หญิงกุ๊กกิ๊กธรรมดา แต่สีฟ้ากับสีชมพูบนปกให้บรรยากาศที่สดใส น่าเอาไปนอนอ่านตามชายหาดนะ แล้วก็ ชอบตัวหนังสือบนก้อนเมฆน่ะจ้ะ ดูน่ารักดี

สองปกสุดท้ายจ้ะ เจ้าหญิง เราชอบมากเลย เป็นอีกปกหนึ่งของ Purple Hibiscus และอีกเล่มของ Chimamanda Ngozi Adichie คือ Half of A Yellow Sun ซึ่งเป็นเล่มที่สองของเธอน่ะจ้ะ ดูสีของรูปถ่ายสิจ๊ะ สวยมาก สดมาก เห็นเลยว่าภาพถ่ายนั่นคืองานศิลปะโดยตัวของมันเอง ใส่ตัวหนังสือสีขาวเข้าไปให้ตรงจังหวะเท่านั้นก็พอเลย

ดูเล่นกันเพลินๆในวันว่างนะจ๊ะ