วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551

จดหมายจากสาวสวนส้ม

เจ้าหญิงจ๊ะ

โอ คิดถึงจังเลย ที่โรงแรมนี้ไม่มีไวร์เลสจ้ะ เขามีอินเทอร์เน็ตให้ต่อทางสายโทรศัพท์ แต่อ่านวิธีการดูแล้วมันซับซ้อนเกินไป (สำหรับเรา) ตอนแรกว่าจะเอาโน้ตบุ๊กลงไปต่ออินเทอร์เน็ตที่ business center ข้างล่างแล้ว จะได้คุยกัน แต่คิดไปคิดมา ให้เจ้าหญิงเคลียร์งานก่อนดีกว่า ส่วนเราเขียนจดหมายหาดีกว่า เพราะยังไง ๆ ก็รู้ว่าคิดถึงกันอยู่แล้วใช่ไหมจ๊ะ

เอางี้นะ ลองอ่านผู้ชายคนหนึ่งบรรยายภาพผู้หญิงคนที่เขาตกหลุมรักดูสิจ๊ะ

“พ่อมองเธออีก ชุดแดงเพลิงช่างเย้ายวนใจ พ่อเห็นเรือนร่างที่กระเพื่อมน้อย ๆ ตามจังหวะหายใจ กระเพื่อมขึ้นลงเหมือนระลอกคลื่นที่กระทบหาดทราย ชุดแดงคือชายหาดของเธอ”

เป็นการเปรียบเทียบที่เห็นภาพเย้ายวนใจมากเลยนะจ๊ะ หากลองนึกภาพตาม มาจาก “ส้มสื่อรัก” จ้ะ เราอ่านจบตอนที่อยู่ในอาเจะห์นี่เอง เวลาที่ต้องทำงานเครียด ๆ ในสภาพแวดล้อมที่อยู่ไม่ค่อยสบาย พกหนังสือที่อ่านง่าย ๆ อ่านแล้วจิตใจเป็นบวกนี่ช่วยได้เยอะเหมือนกันจ้ะ

นักเขียนคนนี้เขียนหนังสือได้เก่งมาก มีสไตล์ที่น่ารัก เห็นว่าชอบเขียนเรื่องปรัชญาชีวิตยาก ๆ ให้วัยรุ่นเข้าใจได้ง่าย ๆ ยังไม่เคยอ่านเล่มอื่น ๆ ของเขาเลยจ้ะ เล่มนี้เขาเขียนเป็นจดหมายของพ่อที่เล่าเรื่องรักครั้งแรกของตัวเองให้ลูกชายฟัง โดยให้สมัญญาผู้หญิงคนนั้นว่า “สาวส้ม” และเริ่มเรื่องด้วยการปรากฏตัวอย่างลึกลับของสาวส้มที่เหมือนโผล่มาจากเทพนิยาย พบครั้งแรกก็ตกหลุมรักปั๊บ จากนั้นเขาก็ผูกเรื่องของสาวส้มให้เหมือนเป็นปริศนา และก็ติดตามค้นหาสาวส้มไปเรื่อย ๆ จนปริศนาว่าสาวส้มเป็นใคร ทำไมถึงทำอะไรแปลก ๆ คลี่คลายลงในตอนท้าย

การติดตามตัวละครตามหาหญิงในฝันในเรื่องนี้เป็นอารมณ์ที่อ่อนหวานเบิกบานมากนะ เคยอ่านดาวินชี่โค้ดไหมจ๊ะ เวลาที่ติดตามเรื่องแบบลุ้นระทึกเพื่อให้ปริศนาคลี่คลายตอนจบ เป็นการอ่านที่เหนื่อยมาก ลุ้นมาก และเครียดมาก แต่นี่ไม่เลยจ้ะ ตัวละครในเรื่องนี้มีอารมณ์ที่อินเลิฟแล้วน่าเอ็นดูจนขำ และชอบคิดและทำอะไรพิกล ๆ เหมือนตัวละครของเจ้าหญิงที่เขียนในประชาชาติน่ะจ้ะ ตอนที่ผู้ชายถามสาวข้างบ้านว่า “แล้วคุณแต่งงานทำไม ?” ประมาณนั้นเลย

เขาเขียนไว้ตอนนึงยังงี้ด้วยจ้ะ

“อีกครั้งที่พ่อต้องขอละเว้นรายละเอียดเกี่ยวกับการตามหาสาวส้ม ทั้ง ๆ ที่ได้ใช้เวลาไปหลายวันวนเวียนอยู่แถวถนนฟรองเนร์ และสามารถเขียนลำดับฉากได้เป็นหลาย ๆ หน้าทีเดียว.....

“ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการปูพื้นก่อนเข้าประเด็นหลัก ซึ่งก็คือจุดที่พ่อได้พบหญิงสาวลึกลับผู้นี้เข้าจริง ๆ ไม่มีประโยชน์ที่จะบรรยายรายละเอียดตอนที่พ่อไม่ได้พบเธอ เพราะมันก็เหมือนกับการเล่าเรื่องคนซื้อลอตเตอรี่แล้วไม่ถูกรางวัล ลูกเคยได้ยินอะไรเกี่ยวกับคนพวกนั้นบ้างล่ะ ? หนังสือพิมพ์เคยพาดหัวเรื่องคนที่ไม่ถูกรางวัลที่หนึ่งหรือเปล่า ? ...

“เอาละ...เรากำลังตามหาร่องรอยของหญิงสาวชุดส้ม ในเมื่อหัวใจของเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือ “เธอ” เราสามารถลืมทุกอย่างที่ไม่ใช่ “เธอ” ไปได้ชั่วคราว เราสามารถขีดเส้นแบ่งระหว่างเธอกับคนอื่น ๆ นี้เมืองนี้ และเราสามารถหยิบผู้หญิงอื่นทุกคนมารวมไว้ในวงเล็บเดียวกัน”

จริง ๆ เล่มนี้เขาเขียนถึงประเด็นคำถามเกี่ยวกับการมีชีวิต การใช้ชีวิต และการจบสิ้นของชีวิตแบบง่าย ๆ ไว้ด้วย คงเหมาะสำหรับผู้อ่านวัยรุ่น แต่สำหรับเราสองคนคงก้าวข้ามพ้นการตั้งคำถามเรื่องพวกนั้นมาแล้ว

ส่วนสัปดาห์นี้ของเรา สำหรับทริปอาเจะห์นี้ ก็ถือว่าจบลงด้วยดี (happy ending ) ก็ว่าได้ เสาร์อาทิตย์เดินทางทั้งวัน ส่วนวันจันทร์ถึงพฤหัส ก็ทำงานประมาณวันละ ๑๒ ชั่วโมง (และมากกว่านั้น) แต่งานก็เสร็จเรียบร้อยไปหลายอย่าง ทำให้โล่งอกไปเยอะ (ถึงจะยังเสร็จไม่หมด แต่ก็..สัปดาห์หน้ายังมีนี่นา)

จะว่าไป สัปดาห์นี้เราก็เป็นสาวส้มเหมือนกันนะ เพราะเทียวแบกถุงส้มวันละกิโลสองกิโลกลับบ้านทุกวัน อย่างที่เล่าให้ฟังน่ะจ้ะ ความเป็นอยู่ที่นี่ไม่สะดวกนัก มาถึงคืนแรก พบว่า บ้านพักของที่ทำงานเขาเปลี่ยนบ้านพักของสตาฟผู้หญิงจากบ้านอูตันบายีไปเป็นบ้านมหารานี ซึ่งอยู่ในซอยมหารานี และเป็นบ้านที่เก่าโทรมกว่าบ้านอูตันบายีมากจ้ะ น้ำก็ไหลค่อย ก๊อกน้ำในครัวก็หลุดติดมือออกมาทุกทีที่เปิด ไปถึงคืนแรก แอร์ห้องเราเสียและหน้าต่างก็เปิดไม่ได้ แถมไม่มีพัดลม จึงต้องย้ายไปนอนห้องมารา ตื่นเช้ามา เจอแมลงสาบนอนตายเกลื่อนบ้านตั้งสองสามตัว คืนที่สอง ย้ายไปอยู่โรงแรม ปรากฏว่าห้องไม่พอ ต้องนอนกับมาราอีก และแอร์เสียอีก ต้องขอพัดลมเขามาเปิด และมาราพบว่า ผ้าปูที่นอนเขาไม่ได้ซัก เพราะแอบเจอเส้นผมอยู่ในผ้าห่ม จึงได้พากันอพยพกลับไปอยู่บ้านของออฟฟิศตามเดิม ซึ่งคราวนี้ เขาซ่อมแอร์แล้ว แต่เราเจอทาก ๒ ตัวในห้องน้ำของเรา (กรี๊ด) คืนที่สี่ พอกลับบ้านมา ปรากฏว่าที่ออฟฟิศดันอุตริให้คนเข้าไปทาสีห้องนอนเราใหม่ จนเหม็นสีไปทั้งห้อง ต้องย้ายไปนอนห้องมาราอีก ปรากฏว่าที่ห้องมารา มีช่องแสงเหนือหน้าต่าง ทำให้แสงไฟจากนอกบ้านส่องเข้ามาได้ เหมือนนอนเปิดไฟทั้งคืน เฮ้อ...

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น.. เราก็พากันหัวเราะกับเรื่องเครียด ๆ บ้า ๆ บอ ๆ นี้กันไปได้ก็เพราะส้มนี่แหละจ้ะ เราจะเอาส้มที่ซื้อมาไปล้างแล้วแช่ตู้เย็นไว้ ทุกเช้าเย็นก็จะเอาส้มมาคั้นกินกันสด ๆ ด้วยที่คั้นน้ำส้มที่อุตส่าห์หอบหิ้วติดกระเป๋าเดินทาง กลิ่นส้มจะหอมฟุ้งไปทั่วห้อง ยิ่งคิดถึงเรื่องส้มสื่อรักที่อ่านจบไปใหม่ ๆ ก็รู้สึกว่า ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับสัปดาห์นี้มันสอดคล้องต้องกันพอดีเลย (ส้ม) แต่ละวันที่เหนื่อย เครียด เซ็ง หงุดหงิด จึงผ่านพ้นไปได้ด้วยดีด้วยชั่วขณะเล็ก ๆ แบบนั้นจนถึงวันนี้

พรุ่งนี้ก็จะเดินทางต่อเพื่อกลับบ้านแล้วล่ะ ดีใจจัง ว่าง ๆ ก็...อ่านส้มสื่อรัก แล้วคั้นน้ำส้มจากส้มเย็น ๆ กินบ้างนะจ๊ะ ชีวิตมันจะได้น่ารักขึ้น (จากที่น่ารักและหอมหวานพอประมาณอยู่แล้ว)

ด้วยรักและคิดถึง

สาวชาวสวน (ส้ม) ของเจ้าหญิง (ที่จะเอาผู้หญิงอื่นทุกคนในโลกนี้ไปใส่รวมไว้ในวงเล็บ และเรียกรวม ๆ กันว่า “ผู้หญิงคนอื่น” ทั้งหมด)

ไม่มีความคิดเห็น: