วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2551

ฤดูฝันของเราต้องยาวนานกว่า

เจ้าหญิงที่คิดถึง

จะแปลกไปไหมจ๊ะที่ยังคิดถึงเจ้าหญิงอยู่มาก แม้ว่าวันนี้จะได้คุยกันทางหน้าจอ ได้คุยกันทางโทรศัพท์ และได้ส่งข้อความหากันอีกด้วย แต่นี่เป็นการคิดถึงทางจดหมาย ซึ่งถ้าไม่เขียนจดหมาย ความคิดถึงก็คงไม่บรรเทาเบาบางลงไปได้ ต่อให้ได้ติดต่อกันด้วยวิธีอื่น ๆ เราคิดว่า การสื่อสารในแต่ละวิธีที่ทำให้เราติดต่อกันอยู่อย่างสม่ำเสมอนั้น มันก็มีหน้าที่เฉพาะของมัน การเขียนจดหมายถึงเจ้าหญิงจึงเป็นสิ่งที่โทรศัพท์ เอ็มฯ และภาพถ่ายไม่อาจแทนที่ได้คงเพราะการเขียนจดหมายทำให้ได้พร่ำเพ้ออะไรไปได้ยืดยาวโดยไม่ถูกขัดคอกลางคันไงจ๊ะ ฮิๆ

เจ้าหญิงจ๊ะ เราอยากคุยให้ฟังถึง "ฤดูฝันอันแสนสั้น" ของ "เงาจันทร์" ที่เล่าให้ฟังว่าอ่านจบไปแล้วเมื่อหลายวันก่อน อ่านจบแล้วก็ไม่รู้จะเศร้าดีหรือไม่ เพราะผู้เขียนก็บอกไว้ตั้งแต่ในคำนำแล้วว่าเรื่องนี้เป็นโศกนาฏกรรม เรื่องมันก็เลยเศร้าแบบเดียวกับเรื่องสั้นเกือบทุกเรื่องในรวมเรื่องสั้น "ปรารถนาแห่งแสงจันทร์" เล่มที่เราชอบกัน แต่เมื่ออ่านจบแล้ว เรารู้สึก..ยังไงดี..สะทกสะท้อน..ทอดถอนใจ แบบไม่ได้เศร้าไปกับชะตากรรมของตัวละครนะจ๊ะ(เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องมีการพลัดพราก ตายจาก และสูญเสีย)แต่เศร้าเมื่อได้มองเห็นผลลัพธ์ของการที่คนเราปล่อยให้แรงปรารถนาเกิดขึ้นและยอมพาตัวเองตกหลุมปรารถนานั้นอย่างลึกจนมืดบอดต่อด้านอื่นๆของความรักน่ะจ้ะ จนทำให้ต้องย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองด้วย

เจ้าหญิงจ๊ะ จำได้ไหมที่คุยกันเมื่อวาน ตอนที่บอกเราว่า ถ้าจะได้พบกันจริงๆ ก็อยากให้เป็นช่วงเวลาที่ดีมากๆ พร้อมทุกอย่าง ลงตัวทุกอย่าง อยากให้เป็นการพบกันแบบมีสติ ไม่ใช่ปล่อยให้อารมณ์พาไปแบบเด็กๆ ที่โผเข้าหากันแล้วก็ละทิ้งความรับผิดชอบด้านอื่นๆทุกอย่าง เพื่อที่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงยิ่งกว่าเดิม แล้วก็ต้องมาตามแก้ปัญหาเรื่องปวดหัวในภายหลัง เจ้าหญิงบอกด้วยว่า เรื่องการจะได้พบเจอกัน สำหรับเราไม่มีอะไรต้องรีบร้อนเลย รอเวลาที่ดีที่สุดเหมาะที่สุดดีกว่า เพราะสำหรับเรายังมีเวลาอีกเยอะ เราฟังแล้วก็..รู้สึกซาบซึ้งมาก และเห็นด้วยมากๆ จ้ะ เฮ้อ ทำให้เรามีความหวัง และรอวันนั้นด้วยความรู้สึกที่อ่อนหวานมากจ้ะ

อ่าน "ฤดูฝันอันแสนสั้น" จบแล้ว บวกกับการได้คุยกันเมื่อคืนวานนี้ พอมานั่งทบทวนดู ทำให้เรารู้สึกว่า ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา เราพูดถึงความปรารถนาที่มาพร้อมกับความรักอยู่มากอาจเป็นเพราะ..เป็นความรู้สึกที่สดใหม่ เป็นการค้นพบใหม่ที่หอมหวานและน่าตื่นเต้นมั้งจ๊ะ เราถึงมีอาการ "เพ้อหาทุกเช้าค่ำ" แล้วก็ "เหมือนตกหลุมรักอีกครั้ง" ที่เป็นหลุมเดิมกับคนที่รักคนเดิม แต่ตกลงลึกลงไปอีก..และอีก

แต่พอมาถึงตอนนี้ สำหรับเราก็เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าความปรารถนาอย่างเดียวนั้นไม่พอ การตกหลุมรักหลุมเดิม..ที่ลึกกว่าเดิมนั้นก็ไม่พอ แต่มันจะต้องเป็นหลุมที่กว้างด้วย เหมือนถ้าจะตกหลุมรัก ก็ต้องขุดขยายหลุมออกไปให้กว้างพอให้คนสองคนอยู่ในนั้นด้วยกันได้โดยไม่อึดอัด และมีสิ่งอื่นๆ อีกหลายอย่างอยู่ในนั้นด้วยนอกจากความปรารถนาน่ะจ้ะ เช่น ความรับผิดชอบ ความใจเย็น การรอคอย การคิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา การมีสติและความเป็นผู้ใหญ่ ฯลฯ เราอยากให้เป็นอย่างนั้นนะ เพราะเราอยากให้ความสัมพันธ์เป็นความสัมพันธ์ที่ดีและยืนยาวมากๆ ไง

ในเรื่องฤดูฝันอันเเสนสั้นนี้ เราชอบภาคแรกมากๆ จ้ะ เป็นภาคที่พูดถึงตอนที่ชาญ(พระเอก)กับฝนโปรย(นางเอก)รักกัน เป็นความรักที่เต็มไปด้วยความปรารถนา เป็นความรักและปรารถนาแบบลืมตาย แล้วผู้เขียนเขาบรรยายความรักของคนสองคนในภาคนี้ได้อย่างสวยมากๆ เป็นภาพหมู่บ้านชนบทที่สวยและโรแมนติกสุดๆ อ่านแล้วทั้งฝันทั้งเคลิ้มตาม ทำให้นึกถึงการบรรยายฉากในชนบทที่ชวนฝันในเรื่องสั้นของอุษณา เพลิงธรรม สุวรรณี สุคนธา และประภัสสร เสวิกุลน่ะจ้ะ

ยกตัวอย่างตอนนึงนะ เป็นตอนที่ชาญเห็นฝนโปรยเข็นรถบรรทุกฟืนที่หนักอึ้งอยู่คนเดียวลงมาตามถนนที่ลาดชัน แต่รถมันแล่นไปข้างหน้าโดยเร็วและฝนโปรยก็ไม่ยอมปล่อยรถเข็นให้หลุดมือ จึงถูกรถลากไปข้างหน้าจนคว่ำอยู่ในดงอ้อกอแขม แล้วก็บรรยายฉากฝนโปรยล้มไว้ว่า

"หล่อนล้มคุดคู้อยู่กลางหมู่ดอกขัดมอญที่มีดอกเล็กๆสีม่วง ดอกไม้เล็กกระจิริดเหล่านั้นแผ่ออกเป็นดงกว้างราวกับนางไม้มาลืมผ้าคลุมไหล่ของหล่อนทิ้งเรี่ยราดไว้ ฝนโปรยคงเจ็บทีเดียวเพราะเขาได้ยินเสียงหล่อนร้องคราง หล่อนใช้ผ้าโพกผมไว้แน่นหนา เขาจึงเห็นเงาดอกแขมพลิ้วไหวเป็นเงาจางสีม่วงอยู่บนลำคออันกลมกลึงที่มีผมอ่อนปลิวรุ่ยร่าย แล้วเขาได้ยินเสียงลมยามเย็นลู่ต้นหญ้าไหวเอนซู่ซ่าในความเงียบ ยามค่ำระหว่างเขาและหล่อนช่างนุ่มละมุน ชั่วครู่หนึ่ง ทั้งคู่ต่างมองดูกันเหมือนไม่เคยพบเห็นกันมาก่อน...สำหรับเขามันเป็นความรู้สึกอันประหลาดล้ำ..."

ผู้เขียนเขียนถึงเวลาที่ชาญและฝนโปรยอยู่ด้วยกันได้อย่างโรแมนติกและอีโรติกตลอดทั้งภาคหนึ่งเลยนะจ๊ะ เป็นฉากที่สวยเหนือจริงมาก ตอนที่ชาญไปช่วยฝนโปรยบิดผ้าที่ริมลำธาร คือฝนโปรยต้องซักมุ้งและผ้าห่ม ก่อนจะตากต้องให้ชาญมาช่วยบิดผ้าให้หมาดดีน่ะจ้ะ เขาก็บรรยายให้สองคนถือชายผ้ากันคนละด้าน แล้วก็บิดไปหมุนตัวเข้าหากันไปเหมือนคนเต้นรำจนกระทั้งหมุนตัวมาแนบชิดกัน เป็นต้น และมีฉากที่สองคนพากันไปเก็บหอยขมและเก็บดอกไม้น้ำสารพัดชนิดมาปลูก ก็จะว่ายน้ำในบึงคลอเคลียกันไป

ฉากที่เราชอบการบรรยายมากอีกฉากหนึ่งคือ ช่วงแรกของเรื่อง ตอนที่ฝนโปรยเอาวัวไปเลี้ยงกลางทุ่ง แล้วโดนแม่วัวเอาเขาเฉี่ยวเสื้อชาวนาสีดำขาดตั้งแต่กลางลำตัวด้านหน้าจรดสาบด้านข้าง ตอนนั้นเพราะคิดว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้นไงจ๊ะ ฝนโปรยก็เลยถอดเสื้อออกเปลือยอกเล่นกลางทุ่ง โดยที่มีชาญแอบดูอยู่หลังต้นกระท้อน (โอ..เร้าใจไหมจ๊ะ)

"แล้วสิ่งเหลือเชื่อก็เกิดขึ้น หล่อนถอดเสื้อตัวนั้นออกขว้างทิ้งไป หล่อนยืนอยู่หน้านังวัวราวกับจะอวดรูปโฉมอ้อนแอ้น หน้าอกอันเต่งกลมกลึงของหล่อน หล่อนยกแขนเรียวทั้งสองข้างขึ้นสูง แล้วก็หมุนไปราวกับต้องการจะเริงระบำ สำหรับชาญแล้ว ดอกไม้ทั้งเนินเขาแห่งนั้นได้พลันจางหายไปสิ้น เขาเห็นแต่ร่างอันบอบบางราวกลีบดอกไม้ เห็นถันเนียนผ่องราวผลส้มสีทอง... หล่อนทอดร่างคว่ำทรวงอกเปลือยลงแนบกับหมู่ดอกไม้ ชาญมองเห็นเพียงแผ่นหลังลาดเนียนของหล่อน หล่อนนอนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งราวกับเพลินไปกับความฝัน แล้วหล่อนก็ลุกขึ้นวิ่งไปที่ตะกร้าผ้าที่หล่อนเตรียมมาซักเพื่อค้นหาเสื้อมาใส่ หล่อนวิ่งมาเฉียดใกล้ต้นกระท้อนโบราณที่ชาญซ่อนตัวอยู่ด้วย...ชาญได้แต่กลั้นใจ ครั้งนี้เขาเห็นร่างอรชรผุดผ่องของหล่อนเต็มตาด้วยอรุณเริ่มแจ่มแจ้ง และนับแต่นั้น เขาก็ฝันแต่ว่าจะได้พบหล่อนในทุกๆเช้าของชีวิตตลอดไป...

"มันเป็นความรู้สึกอันแปลกประหลาด เหมือนเขาหลับไปแล้วได้เห็นนางไม้...

"เขาไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นความรัก เพราะเขาไม่กล้าที่จะคิดเช่นนั้นในช่วงเวลาอันแสนสั้น มันอาจจะเป็นความซาบซึ้งในความงามจากเบื้องลึกของหัวใจ เพราะเขาได้เห็นเอวองค์ที่ชุ่มน้ำค้างของหล่อน ได้เห็นเนินหน้าท้องที่เรียบเนียนเหน็บผ้าถุงไว้หมิ่นเหม่ เขาปฏิเสธกับตนเองว่ามันไม่ใช่ทั้งความรักและความใคร่ผสมกัน เพราะหล่อนไม่มีท่าทีจะยั่วยวนใครนอกจากมีความสุขท่ามกลางสัมผัสจากธรรมชาติ กระนั้น บ่อยครั้งเขาหลับตาลงก็เห็นองค์เอวเนินนมเอิบอิ่มของหล่อน ครั้นอยู่ในความเงียบ เขาก็ได้ยินเพลงที่หล่อนร่ำกระซิบ..."

อีกตอนนึง ทำให้เราคิดถึงวิธีที่เจ้าหญิงเขียนฉากอีโรติกในงานของตัวเองมากทีเดียว เราคิดว่า..อืมม์ ฉากเหล่านั้นก็จะต้องได้รับอิทธิพลจากงานเขียน(และบรรดาเพลง) รุ่นเก่าๆ ที่สวยคลาสสิก แบบนี้จ้ะ

"คงมีแต่ดวงจันทร์ที่มองเห็นเขาเปลื้องเสื้อชาวนาของหล่อนออก เขาสัมผัสทรวงอกอันเคยเป็นภาพอันตราตรึงอยู่ในฝันด้วยความรู้สึกว่าตนเองเป็นเด็กน้อยผู้ได้กลับนั่งอยู่ริมฝั่งน้ำใต้เงาต้นก้ามปูโบราณและกำลังโลมลูบดินเหนียวเต็มกำมือเพื่อจะเคล้นคลึงให้มันเป็นรูปปั้นต่างๆ ตามใจชอบ เนื้ออกหล่อนเนียนนุ่มและแข็งหยุ่นมือเหมือนดินเหนียวอย่างดีที่เขาเคยเฝ้าผสมคลุกเคล้าจากริมน้ำ เพียงแต่กลิ่นอุ่นหวานและหอม เด็กน้อยเช่นเขาจึงคลึงเคล้าซุกไซ้ด้วยดื่มด่ำโดยไม่ได้คำนึงว่าจะปั้นให้มันเป็นรูปอันใด มีแต่ปรารถนาที่จะสัมผัสประเล้าประโลมด้วยเสน่หาอันเอ่อล้นท้นใจ

"ไกลออกไปจากที่นั่น ป่าส่งเสียงของป่า ลำธารครวญเพลงผ่านเงาจันทร์ใต้พุ่มพฤกษ์ เป็นเสียงกระซิบกระซาบรำพันด้วยบทเพลงลี้ลับ ผ้าซิ่นชาวนาของหล่อนหลุดง่ายดาย ซังข้าวแข็งๆ ทิ่มตำร่างอันสั่นสะท้านของหล่อน หมู่ดอกผักบุ้งสีม่วงที่บานสลอนอยู่บนรายข้าวถูกมือหล่อนอันกำเกร็งปัดป่ายกระจัดกระจาย หล่อนกำมันแน่นแล้วก็ปล่ยอให้มันสั่นไหวอยู่ใต้ลมหนาว.."

ฝนโปรยยังเป็นคนชอบดอกไม้มาก ทั้งเรื่องนี้ผู้เขียนเขียนถึงดอกไม้ที่บานพราวเต็มท้องทุ่งและเต็มบึง และยังพูดถึงฤดูกาลที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ด้วย เรื่องในภาคแรกจบลงตรงที่ฝนโปรยขอให้ชาญทำในสิ่งที่ถูกต้อง คือไปแต่งงานกับแม่ทิพย์ซึ่งเป็นคู่หมายแต่เดิมของตนแล้วฝนโปรยก็ท้องไม่มีพ่อและเลี้ยงลูกไปตามลำพัง

พอเข้าภาคสอง อารมณ์ของเรื่องก็เปลี่ยนไปทันทีเลยจ้ะ ดูเหมือนผู้เขียนอยากจะยกหน้าหนังสือลงโทษตัวละครที่ได้กระทำพลาดพลั้งไว้ในภาคแรก ผู้เขียนเขียนไว้ในคำนำด้วยนะจ๊ะว่า "บุคลิกของชาญตัวละครสำคัญในเรื่องซึ่งสร้างความผิดพลาดจนตลอดทั้งเรื่องอย่างเหลือเชื่อนั้น เกิดจากความตั้งใจของข้าพเจ้าเอง เป็นการให้ร้ายผู้ชายทั้งโลกด้วยความตั้งใจ" และการบรรยายธรรมชาติในภาคนี้เลยสะท้อนความโศกเศร้าของชาญเป็นหลัก ภาคนี้จึงเศร้าทั้งอารมณ์ของฉากและชะตากรรมของตัวละคร พี่ชายรักน้องสาวตัวเอง ลูกสาวรักพ่อตัวเอง

ตัวละครของเงาจันทร์ตายง่ายกันเหลือเกินจ้ะ สงสัยจังว่าทำไมคนเขียนถึงเศร้านักและชอบให้ตัวละครพ่ายแพ้ต่ออารมณ์ความรู้สึกจนทำร้ายตนเองและคนอื่น เขาเขียนไว้ในคำนำอีกจ้ะว่า "หวังว่าผู้อ่านจะค้นพบเมื่ออ่านจบว่า พวกเขาคือมนุษย์ธรรมดาที่อ่อนแอต่อกิเลสตัณหาเหมือนเราๆ ท่านๆ นั่นเอง" ภาคนี้มันเศร้า เจ้าหญิงไปอ่านเอาเองนะจ๊ะ เราจะส่งหนังสือไปให้ทางไปรษณีย์

ส่วนเราหรือจ๊ะ แม้ว่าจะสะทกสะท้อนใจกับชะตากรรมของตัวละครในเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความปรารถนาที่ท่วมท้นอยู่ในหัวอกคลี่คลายลงเลยจ้ะ เหมือนชาญ..เราก็ยังอยากจะระดมจูบทุกตารางนิ้วบนใบหน้าของผู้หญิงที่เราโหยหา หลังจากที่เขาไประดมจูบดอกเข็มขาวมา จนกลิ่นดอกเข็มขาวและน้ำค้างจากกลีบดอกมาติดอยู่ที่ใบหน้าของเราไปด้วย ยังอยาก "คลึงเคล้าเนินอกนุ่มประหนึ่งดินเหนียวของหล่อนที่เขาเคยขยี้ขยำเล่นในวัยเด็กนั้นอีกอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า"

เพียงแต่ว่า..เราคงไม่อยากเอาความปรารถนาเป็นตัวนำทางจนทำให้มืดบอดต่อสิ่งอื่นไงจ๊ะ ถึงอย่างไรเราก็รักที่จะทะนุถนอมความปรารถนาที่มีต่อเจ้าหญิงเอาไว้นานๆ นะ เพราะมันทำให้เวลารอเป็นการรอคอยที่อ่อนหวานมากทีเดียวจ้ะ

ฝันถึงเจ้าหญิงทุกคืนค่ำ
สาวชาวสวน

ไม่มีความคิดเห็น: