วันอังคารที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2550

ปรารถนามาเยือน...


ปรารถนามาเยือน...


เหมือนพายุรุกรานวันสงบ

เพียงได้พบเธอในฝันก็หวั่นไหว

หลับตาลงสบตาเธอครั้งใด

ฉันก็พ่ายแพ้ใจไปทุกครั้ง


เจ้าหญิงของฉันแสนสวยที่สุด

"Nothing makes a woman more beautiful than the belief that she is beautiful" - Sophia Loren

หวัดดีจ้ะ

ลืมเล่าไปจ้ะ ว่าตอนที่อยู่เมดาน ไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ Sun Plaza ที่ตั้งอยู่ใกล้โรงแรม จึงคว้าหนังสือน่ารักมาจากร้านหนังสือได้เล่มหนึ่ง กะว่าจะให้เป็นของขวัญวันสิ้นปีแก่น้องที่ทำงานคนสนิท และในระหว่างที่ยังไม่ได้ทำพิธีมอบของขวัญปีใหม่อย่างเป็นทางการ ก็ถือโอกาสยืมเปิดอ่านไปพลางๆ ก่อน พอพลิกๆดูแล้วก็เกิดความเสียดายชักอยากเก็บเอาไว้เอง (แต่ก็ตัดใจจ้ะ เพราะไม่ีได้เตรียมของขวัญอย่างอื่นไว้ให้)

หนังสือเล่มนี้ชื่อ The Little Black Book of Style เป็นหนังสือที่ผู้หญิงมากๆ ผู้เขียนคือ Nina Garcia เป็นบรรณาธิการฝ่ายแฟชั่นของนิตยสาร “แอล” จะว่าไป มันก็เป็นหนังสือแนวฮาวทู ที่ให้ข้อแนะนำการแต่งตัวอย่างดูดีมีสไตล์สำหรับผู้หญิง ผู้เขียนนั้นพยายามจะพูดถึงแก่นแท้ของ “สไตล์” ซึ่งไม่ใช่ “เทรนด์” หรือ “แฟชั่น” อย่างที่เขายกคำพูดของ Edna Woolman Chase มาบอกว่า "Fashion can be bought. Style one must possess."

ส่วนเนื้อหาหนังสือเล่มนี้ก็ไม่มีอะไรมากจ้ะ เป็นการเขียนแนวฮาวทูแบบอ่านง่าย ๆ แบ่งเป็นบทๆ เริ่มต้นด้วยบท Be your own muse เป็นการย้ำว่า ผู้หญิงต้องเป็นตัวของตัวเอง ค้นหาตัวเองก่อน มั่นใจในตัวเองแล้วก็สร้างสไตล์ของตนเองได้โดยที่ไม่ต้องตามแฟชั่นหรือตามคนอื่น

ตามมาด้วยบท The Basic การแนะนำกฎพื้นฐานของการแต่งตัว เช่น มีน้อยชิ้นแต่เป็นชิ้นดูดีมีราคาดีกว่ามีเสื้อผ้าเยอะแยะเต็มตู้แต่ไม่รู้จะใส่อะไร เสื้อผ้าและเครื่องประดับชิ้นพื้นฐานที่ผู้หญิงต้องมีติดไว้ในตู้เสื้อผ้า เช่น เดรสสีดำ เสื้อเชิ้ตขาว กางเกงยีนส์ รองเท้าส้นสูงดีๆสักคู่ กระเป๋าคลาสสิกสักสามสีใบ และเพชร รวมถึงแนะนำเทคนิคการ Mix & Match เสื้อผ้าราคาแพงกับเสื้อผ้ามือสองหรือสมบัติตกทอดจากคุณย่า เพราะกฎสำคัญของการมีสไตล์คือ ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องแพงทั้งหมดและต้องตามเทรนด์ทั้งหมด ปิดท้ายด้วยศิลปะของความไม่สมบูรณ์แบบ นั่นหมายถึง อย่าแต่งตัวให้ดูเนี้ยบและจงใจมากเกินไป แอบปล่อยชายเสื้อหรือปล่อยให้ผมยุ่งบ้าง จะทำให้ดูมีเสน่ห์น่ารักขึ้น อย่างที่เขาว่า "A beautiful thing is not perfect" (anonymous)

ผู้เขียนยังมีอีกบทหนึ่งเต็ม ๆ ว่าด้วย Inspiration ที่พูดถึงแรงบันดาลใจในการแต่งตัวของผู้หญิง ที่มาของแรงบันดาลใจนั้นทั้งจากภาพยนตร์ ดารา นางแบบ งานศิลปะ รวมไปถึงการเดินทาง ที่จะช่วยให้เราไปพบเจอและสไตล์การแต่งตัวในวัฒนธรรมที่แตกต่าง เช่น ลีลาการเปิดเผยเนื้อตัวของผู้หญิงแถบละตินอเมริกา สีเอิร์ธโทนในอาฟริกา และการใช้สีสันฉูดฉาดของผู้หญิงอินเดีย

สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ดึงดูดใจเรามาก คือ การออกแบบรูปเล่มและภาพประกอบ หนังสือทำเป็นขนาดเล็ก ๆ กระทัดรัด ปกแข็งสีดำ แลดูเรียบเก๋ แต่เมื่อเปิดดูเนื้อใน จะเห็นภาพประกอบสีฉูดฉาดของ Ruben Toledo ซึ่งปกหลังให้เครดิตว่าเป็นจิตรกร ประติมากร และนักวาดภาพประกอบที่มีผลงานในนิตยสารชื่อดังๆ ของอเมริกาหลายฉบับ ภาพประกอบและการดีไซน์หน้าหนังสือช่วยทำให้หนังสือดูเก๋น่ารักและมีสีสันมากยิ่งขึ้น ก็ยังถ่ายรูปเก็บไว้มาให้ดูด้วยเลยจ้ะ

ถึงแม้ว่าหนังสือเล่มนี้จะไม่ค่อยมีประโยชน์สำหรับเรา (ผู้ซึ่งสวยเก๋และดูดีทุกมุมมอง แถมใช้งานได้ดีเหมือนคอมพิวเตอร์แม็คฯ อยู่แล้ว) แต่ก็มีไอเดียหลายอย่างของหนังสือที่เราชอบ และน่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้หญิงสาวๆ ที่กำลังเริ่มทำงานและหัดแต่งตัวนะ โดยเฉพาะทัศนคติที่มีต่อความงามและการมีสไตล์ของหนังสือเล่มนี้

ผู้เขียนบอกว่า ถ้าไปในสถานที่สักแห่ง ผู้หญิงที่จะดึงดูดความสนใจเธอที่สุด ไม่ใช่ผู้หญิงที่สวยที่สุด รูปร่างดีที่สุด หรือผู้หญิงที่แต่งตัวด้วยของราคาแพงที่สุด แต่เป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่สวมเสื้อสีเรียบๆดูดีมียี่ห้อ กับกระโปรงพิมพ์ลายแปลกที่เหมือนกับไปรื้อมาจากตู้เสื้อผ้าของคุณแม่หรือสอยมาจากตลาดนัดมือสอง แต่ออกมาแล้วเข้ากันอย่างดีดูเตะตา จนทำให้อยากปรี่เข้าไปถามว่า คุณซื้อกระโปรงที่ไหน นี่ต่างหากล่ะ..คือผู้หญิงที่มีสไตล์ที่แท้

ก็หวังว่าเจ้าหญิงจะดูรูปหนังสือสวยๆอย่างเพลิดเพลิน และหวังว่าผู้รับหนังสือเล่มนี้เป็นของขวัญจะชอบนะจ๊ะ

พูดเรื่องสวยเรื่องงามแล้ว ยังมานั่งคิดถึงที่เจ้าหญิงบอกวันก่อนว่า คนรักของเจ้าหญิงนั้น “สวยวันสวยคืน และสวยลึกซึ้งขึ้นทุกวัน” เรายังมานั่งสงสัยอยู่ว่า ที่มันเป็นแบบนี้ เนื่องมาจาก Beauty is in the eyes of the beholder เพราะเจ้าหญิงมองคนที่ว่าสวยด้วยดวงตาของคนที่กำลังมีความรัก อะไรจึงสวยไปหมด หรือว่า เพราะมีความรัก เราจึงดูสดสวยอ่อนหวานขึ้นจริงๆ แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลในทางไหน ในสายตาเรา ก็เห็นว่า เจ้าหญิงของเรานี่แหละที่แสนสวยน่ารักที่สุด

คนรักแสนสวยของเจ้าหญิง

วันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2550

The girl I love who loves me


It's blissful to have
The girl I love who loves me
To laugh with.

It's bittersweet to have
The girl I love who loves me
To miss.

It feels good to know that
The girl I love who loves me
Exists.

I want to be closer to
The girl I love who loves me
A little bit.

(Don't you think?)
It must be heaven
To kiss

The girl you love who loves you
That you miss.

วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2550

พลังของความคิดถึง

คิดถึงมากจ้ะ

ขออธิบายระดับของความคิดถึง ณ ขณะนี้ไว้อย่างนี้แล้วกันนะ

ความคิดถึงนี้เดินทางไปข้างหน้าเรื่อยๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ จนเราคิดว่า วันหนึ่งในเร็ววันนี้ การถึงจุดสุดยอดทางกายในจินตนาการ ก็อาจจะไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าเทียบกับการได้แตะปลายนิ้วก้อย หรือแม้แต่ชายเสื้อของเธอ

เพราะเอาเข้าจริงแล้ว การได้แตะปลายนิ้วก้อยหรือชายเสื้อ ย่อมต้องเกิดขึ้นพร้อมกับการได้มองเห็นดวงตา และรอยยิ้มที่เคลื่อนไหวได้ และปลายนิ้วก้อย หรือแม้แต่ชายเสื้อก็คงอบอุ่นและมีชีวิตยิ่งกว่า

และปลายนิ้วก้อยและชายเสื้อบวกกับการได้สบตาและได้เห็นรอยยิ้ม ก็ย่อมเป็นจริงยิ่งกว่า และทำให้หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าสัมผัสที่แม้จะรุนแรงและสั่นไหวเพียงไร แต่ก็เกิดขึ้นได้เพียงในจินตนาการ และไม่เคยเลยสักครั้งที่ทำให้ความคิดถึงมาถึงจุดที่สิ้นสุดลงได้อย่างแท้จริง

คุณยายโนเบล

หวัดดีจ้ะ เจ้าหญิงน้อย

ดีใจมากนะจ๊ะที่ได้รับจดหมาย อ่านเพลินมากเลย อย่างที่บอก ชอบอารมณ์ของจดหมายเจ้าหญิงมากๆนะจ๊ะ เราเองก็เชื่อเรื่องโหราศาสตร์และเรื่องโชคชะตามากทีเดียว ประสบการณ์หรือการรับรู้ที่ผ่านมา ทำให้รู้สึกจริงๆว่า ชีวิตเราถูกกำหนดไว้แล้วโดยมือยิ่งใหญ่ที่เรามองไม่เห็น บางทีการเชื่ออย่างนั้น มันอาจทำให้ชีวิตคลายความร้อนรุ่มกระวนกระวายไปได้มากด้วย และอ้าแขนรับสิ่งที่เข้ามาในชีวิตด้วยความยินดีว่า..มันเข้ามาหาเราเพราะมันเป็นของเรา เบื้องบนส่งมาให้เรา..เพราะเราต้องเจออย่างนี้น่ะจ้ะ

ที่นี่อากาศหนาวมากจ้ะ 10 กว่าองศาได้ แต่รู้สึกสดชื่นเพราะเหมือนอากาศมันบริสุทธิ์ ไม่เหมือนหนาวแอร์ที่ทำงานในกทม.นะจ๊ะ เสียอย่างเดียว รับสัญญาณโทรศัพท์ดีแทคไม่ได้ สามวันนี้ต้องทนอยู่โดยไม่ได้ส่งและรับข้อความถึง/จากเจ้าหญิง แต่โชคยังดีที่มีไวร์เลสน่ะจ้ะ เลยสามารถส่งอีเมล์หาได้ ดูสิไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ มาสิ้นลายไร้สัญญาณมือถือก็ที่ปากช่องนี่เอง

จำได้ว่าวันก่อนคุยกัน ที่เราบอกว่าคลับคล้ายคลับคลาว่าปีนี้ ดอริส เลสซิง จะได้รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม วันนี้นึกสงสัย (และว่างๆ อู้งาน) เลยไปค้นดู ปรากฏว่าได้จริงๆด้วยจ้ะ เราอ่านเจอบทความของนิวยอร์คไทม์สน่ะจ้ะ เขียนถึงเรื่องนี้ (นิวยอร์คไทม์สเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีเซ็คชั่นวรรณกรรมที่ดีมากๆ แน่นปึ้กที่สุดเลยพอๆกับ The Guardian ของฟากอังกฤษ) บทความนี้เขียนได้น่ารักมาก ทำให้เรารู้จักดอริส เลสซิงได้เยอะทีเดียวภายในเนื้อหาเรื่องจำนวนไม่กี่หน้า แล้วก็อ่านสบายๆนะจ๊ะ เคยสงสัยเสมอ ว่าทำไมนักเขียนบทความวรรณกรรมของไทยไม่ค่อยเขียนบทความได้น่ารักแบบนี้ อืมม์ ถ้ามีก็คงจะเป็นคุณเฟย์ แล้วก็ปราย พันแสง ประมาณนั้นมั้งจ๊ะ

ที่เห็นปุ๊บแล้วชอบมากก็คือรูปน่ะจ้ะ เราแนบไฟล์มาให้ดูด้วยนะ เป็นรูปคุณยายดอริสวันที่ประกาศผลรางวัลแล้วนักข่าวไปมะรุมมะตุ้มสัมภาษณ์แกที่บ้าน แกก็ออกมานั่งหน้าระเบียง กุมขมับให้สัมภาษณ์นักข่าวด้วยอาการงงๆ ดูน่ารักปนขำทีเดียวจ้ะ แล้วช่างภาพก็ถ่ายออกมาได้อารมณ์ดีนะ ว่ามั้ย

ณ วันที่รางวัลประกาศผลนั้น เข้าใจว่าคุณยายทราบข่าวรางวัลที่ได้จากพวกสื่อมวลชนที่ไปรุมสัมภาษณ์นั่นเอง ตอนั้นเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลน่ะจ้ะ แกบอกว่า "รู้สึกแปลกใจนิดๆ เพราะจริงๆลืมเรื่องนี้ไปแล้ว" ความที่ชื่อของดอริส เลสซิงอยู่ในฐานะผู้เข้าชิงรอบสุดท้ายรางวัลนี้มานานมากจ้ะ ว่ากันว่าลุ้นๆกันมาร่วม 40 ปีแล้วทีเดียว แกคิดอีกนิดหนึ่งแล้วก็บอกว่า จริงๆมันก็ไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะ "พวกเขาก็คงต้องให้ฉันสักวันก่อนที่ฉันจะตายไป หรือไม่ก็อดให้เลย"

ดอริส เลสซิงปีนี้อายุ 88 ปีแล้วจ้ะ ถือเป็นนักเขียนหญิงคนที่ 11 และมีอายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของรางวัลโนเบล มีเชื้อสายเปอร์เซีย (ประเทศอิหร่านในปัจจุบัน) จากนั้นครอบครัวก็ย้ายไปอยู่ซิมบับเว แกออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 15 แล้วก็แต่งงานตอนอายุ 19 ปี แต่งงานได้สองสามปีก็รู้สึกว่าชีวิตแต่งงานเหมือนถูกขังคุกก็เลยทิ้งครอบครัวไว้เบื้องหลังน่ะจ้ะ จากนั้นก็ไปพบรักใหม่แล้วก็ได้รับอิทธิพลด้านการเมืองจากสามีใหม่ แล้วจากนั้นก็หย่าอีกจ้ะ ก่อนที่จะหอบลูกกลับมาอังกฤษแล้วทำงานเป็นนักเขียนเต็มตัว ตามบทความบอกว่าคุณยายเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรีและต่อสู้ทางการเมืองพอสมควร เรียนไม่จบชั้นมัธยมด้วยนะจ๊ะ แต่ว่าอาศัยเรียนรู้ผ่านการอ่านหนังสืออย่างมหาศาล หนังสือที่เขียนก็เป็นเรื่องสั้น นวนิยาย บทละคร งานที่ไม่ใช่นวนิยายและประวัติชีวิตของตนเอง รวมๆแล้วก็หลายสิบเล่ม

ในบทความบอกว่า แม้คุณยายจะเป็นนักเขียนแนวสิทธิสตรีและเป็นคนที่มีจิตใจฝักใฝ่ด้านการเมืองมาก แต่ก็ไม่ถึงขนาดสร้างความขัดแย้งรุนแรง แบบนักเขียนรางวัลโนเบล 2 ท่านก่อน (คือ Orhan Pamuk แห่งตุรกี และ Harold Pinter แห่งเกาะอังกฤษ) ซึ่งมีความคิดเห็นรุนแรงมากต่อสถานการณ์การเมืองในปัจจุบัน จนทำให้นักวิจารณ์สงสัยกันว่า ที่ได้รางวัลโนเบลนั้นเป็นเพราะจุดยืนทางการเมืองมากกว่าเหตุผลด้านคุณค่าทางวรรณกรรม

ในบทความบอกว่า งานที่เด่นที่สุดของดอริส เลสซิงคือหนังสือนวนิยายชื่อเรื่อง "The Golden Notebook" ซึ่งว่ากันว่าเป็นงานแนวเฟมินิสต์ยุคเริ่มแรกเลยทีเดียวจ้ะ หนังสือเล่มนี้ก็ตีพิมพ์ก่อนที่เราจะเกิดถึง 7 ปี ซึ่งนั่นมันก็สี่สิบกว่าปีมาแล้ว เป็นนิยายที่พูดถึงการตั้งคำถามของผู้หญิงต่อชีวิตครอบครัว หรือการอุทิศชีวิตทั้งหมดให้กับสามีและลูกๆ โดยละเลยชีวิตส่วนตัวและความต้องการของตัวเอง แต่นิยายเรื่องแรกจริงๆ คือเรื่อง The Grass Is Singing ซึ่งพูดถึงความสัมพันธ์ของแม่บ้านที่มีสามีเป็นชาวนากับคนรับใช้ผิวดำจ้ะ (ฟังดูคลาสสิคดีไหม)

เราจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยอ่านเรื่องสั้นเรื่องหนึ่งของคุณยาย รู้สึกจะชื่อ To Room 19 น่ะจ้ะ เป็นเรื่องของผู้หญิงชนชั้นกลางคนหนึ่งที่แต่งงานกับสามีที่ดี มีลูกสี่คน แต่ก่อนผู้หญิงคนนี้ทำงานแต่พอมีลูกก็อุทิศชีวิตทั้งหมดมาเป็นแม่บ้าน เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อลูกคนเล็กเข้าโรงเรียนเรียบร้อย ผู้หญิงคนนี้ก็เริ่มมาตั้งคำถามกับชีวิต แล้วความไม่พึงพอใจในสภาพที่เป็นอยู่ก็ออกมาโดยการหมดความสนใจในชีวิตประจำวัน แล้วสามีก็ไปมีผู้หญิงอื่น ต่อมาผู้หญิงคนนี้ก็เลยต้องไปเช่าห้องที่โรงแรมห้องหนึ่ง เป็นห้องหมายเลข 19 เพื่อที่ทุกๆบ่ายจะได้ไปใช้เวลาอยู่เงียบๆคนเดียวที่นั่น นั่งครุ่นคิดถึงชีวิต เพื่อจะได้ไม่ต้องแวดล้อมไปด้วยเสียงจากชีวิตครอบครัว แล้วคนรอบข้างก็ไม่เข้าใจเธอนะจ๊ะ เจ้าของโรงแรมฯลฯ ก็ตั้งคำถามมากมาย แล้วก็กดดัน คิดว่าแปลก เป็นบ้า เพี้ยน ฯลฯ น่ะจ้ะ ในที่สุดสามีรู้ว่าแอบไปโรงแรม ก็เลยกล่าวหาว่ามีชู้ (เพราะผู้ชายน่ะจ้ะ ไม่เข้าใจอารมณ์ผู้หญิง แต่เหตุผลเดียวที่ไปที่โรงแรมก็เพราะการนี้) ผู้หญิงคนนี้ก็แกล้งบอกว่าใช่ มีชู้ แล้วก็ไปที่ห้องเบอร์ 19 แล้วก็ฆ่าตัวตาย

นึกถึงตอนนี้แล้วก็ งานพวกนี้เป็นงานประวัติศาสตร์น่ะจ้ะ อ่านเพื่อเข้าใจสภาพสังคมและความกดดันของผู้หญิงสมัยโน้น ถ้าอ่านตอนนี้แล้วคงไม่ได้อารมณ์มาก เพราะโลกของผู้หญิงก็เปลี่ยนไป แล้วคงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ถูกกดดันมากขนาดนั้น ณ ตอนนี้ แต่เราก็ชอบงานเขียนของนักเขียนหญิงยุคนี้เหมือนกันนะจ๊ะ ส่วนใหญ่ก็จะเขียนเรื่องสิ่งที่กดทับผู้หญิงอยู่แบบนี้คล้ายๆกันหมด อย่างวลีของเวอร์จิเนีย วูล์ฟ ที่บอกว่า "ผู้หญิงต้องมีห้องส่วนตัวและมีรายได้เป็นของตนเอง" ที่เขาพูดไว้นานมาก แต่มันจริงแสนจริงจนถึงทุกวันนี้ เพราะมันเป็นภาพที่เป็นรูปธรรมของการที่ผู้หญิงเราจะยืนอยู่และมีที่ทางของตัวเองทั้งในแง่เศรษฐกิจและอารมณ์ แล้วก็เป็นหลักยึดประจำใจของเรามาจนทุกวันนี้น่ะจ้ะ

ในวันที่บทความเขียนถึง พูดถึงบรรยากาศที่บ้านของนักเขียนด้วยนะจ๊ะ ว่าเริ่มมีดอกไม้ทยอยมาส่ง พร้อมกับเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย เมื่อข่าวว่าคุณยายได้รางวัลโนเบลเริ่มเป็นที่รู้กันไป บทความปิดท้ายไว้อย่างน่ารักเชียวว่า โทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง เป็นสายจากเพื่อนอีกคนหนึ่งที่คุณยายมีนัดไปทานข้าวที่ร้านอาหารจีนในเย็นนี้ คุณยายต้องขอโทษเพื่อนไปว่าวันนี้คงไปทานอาหารด้วยไม่ได้แล้ว เพราะเพิ่งได้รับรางวัลโนเบล แล้วบทความก็จบลงตรงนี้

เล่ามาตั้งยาวนี่..ก็อยากจะบอกว่าคิดถึงมากเหมือนเดิมน่ะจ้ะ ถ้าคิดถึงแล้ว..อารมณ์แบบนี้ก็อาจจะเขียนพร่ำเพ้อหาด้วยถ้อยคำซ้ำๆไปมา จนมีแต่คำเดิมซ้ำๆวนไปเวียนมาเต็มสองสามหน้ากระดาษ ทำอย่างนั้นก็คงไม่เกิดคุณูปการใดๆเลย และอาจทำให้ถ้อยคำมันลดทอนความหมายของมันลงกว่าที่ควรจะเป็น (หรือเปล่าน้า) ก็เลยต้องแปรพลังงานแห่งความถวิลหาทุกเช้าค่ำนั้นให้เล่าเรื่องสัพเพเหระให้เจ้าหญิงฟังแบบนี้น่ะจ้ะ

ราตรีสวัสดิ์เจ้าหญิงจ้ะ

ออมก่อน รวยกว่า

เจ้าหญิงที่รักจ๊ะ

ดีใจจังที่เมื่อคืนได้คุยกัน อย่างที่บอกน่ะจ้ะ ว่าอยากให้ความสัมพันธ์ของเราเป็นความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ ไม่ว่ามันจะนิยามว่าเป็นความสัมพันธ์แบบไหนก็ตาม ถึงวัยนี้ อาจต้องยอมรับมังจ๊ะว่า แม้กระทั่งอารมณ์และความสัมพันธ์ก็อาจจะต้องอาศัยการจัดการนิดหน่อย สำหรับเราน่ะจ้ะ เพราะขยะในใจเป็นสิ่งที่ต้องขจัดออกไปด้วยวิธีละมุนละม่อม ไม่ควรเอาออกมาขว้างปาใส่คนอื่น เราก็พยายามที่จะทำอย่างนั้นอยู่ แต่ก็..ให้เวลาตัวเองไปด้วยน่ะจ้ะ

วันนี้ลุกจากเตียงมาก็หกโมงแล้ว เมื่อคืนนอนเกือบเที่ยงคืนน่ะจ้ะ เพราะไออีก รู้สึกล้านิดๆ ก็เลยไม่ได้ไปออกกำลังกาย แต่มาทำงานเลยจ้ะ อากาศในกรุงเทพฯเย็นลงนิดๆ จนต้องใส่เสื้อแขนยาว อุณหภูมิประมาณ 22 องศา เมื่อเช้าขับรถมา เห็นรถตุ๊กๆที่ติดไฟแดงข้างๆ มีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ เข้าใจว่าน่าจะเป็นลูกจ้างร้านอาหารน่ะจ้ะ เพราะมีถุงกับข้าวเต็มรถเลย น้องคนนี้..ขณะที่นั่งอยู่ในรถก็เอาใบมะกรูดมานั่งเด็ดไปด้วย...ท่าทางจริงจังกับงานมาก น้องเขาคงเป็นคนขยันมากทีเดียวนะ น่าพามาเลี้ยงดูส่งเสียมากเลย

วันสองวันมานี้ เอาหนังสือ "ออมก่อนรวยกว่า" ออกมาอ่านด้วย ช่วงนี้ใกล้ปลายปีแล้ว เราจึงมีเรื่องต้องจัดการเกี่ยวกับภาษีเงินได้นิดหน่อยน่ะจ้ะ ปีนี้ถ้าไม่หักค่าลดหย่อนใดๆ เราต้องเสียภาษีให้รัฐประมาณแสนกว่าบาทจ้ะ นี่ก็เลยว่าจะไปซื้อกองทุนรวมที่เล่นหุ้นน่ะจ้ะ ซึ่งจะช่วยลดภาษีลงไปได้ ซึ่งถือว่ามากทีเดียวนะ ดีกว่าฝากเงินไว้ในธนาคารเฉยๆน่ะจ้ะ

ยกตัวอย่างนะจ๊ะ เนื่องจากภาษีต้องเสียเป็นขั้นบันไดใช่ไหม รายได้ 1 แสนบาทแรกเสียแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ รายได้จาก 1 แสนถึง 5 แสนถัดมาเสีย 10 เปอร์เซนต์ ส่วนที่เป็น 5 แสนถึง 1 ล้านเสีย 20 เปอร์เซนต์ และส่วนที่สูงเกิน 1 ล้านบาทเสีย 30 เปอร์เซ็นต์น่ะจ้ะ

กรณีของเรา รายได้ส่วนที่จะต้องเสียภาษีถึง 20 เปอร์เซนต์นั้นมีประมาณ 5 แสนบาท หมายความว่า เงินของเราส่วนนี้ ต้องจ่ายภาษีถึง 1 แสนบาทน่ะจ้ะ

ทีนี้กองทุนหุ้นที่จะซื้อ ก็สามารถจะเอามาลดภาษีได้ เป็นนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมให้คนเอาเงินไปลงทุนหุ้นในระยะยาวน่ะจ้ะ คือเงินที่เอาไปซื้อ LTF นี้สามารถเอามาลดภาษีได้ เช่นถ้าเราซื้อประมาณ 1.5 แสนบาท ก็จะเอาไปลดภาษีได้ถึง 3 หมื่นบาท ซึ่งถ้ามองว่าการลงทุนพวกนี้มันเสี่ยงไหม มันก็มีความเสี่ยงน่ะจ้ะ แต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าคือลดค่าใช้จ่ายภาษีในส่วน 20 เปอร์เซนต์ ก็ถือเป็นกำไรที่ค่อนข้างดีทีเดียวนะ เพราะถ้าเอาเงิน 1.5 แสนบาทฝากธนาคารออมทรัพย์ไว้ ก็จะได้ดอกเบี้ยแค่ 0.75 เปอร์เซนต์ แล้วเราต้องจ่ายภาษี 20เปอร์เซนต์ ซึ่งมันไม่คุ้มเลยจ้ะ

นอกจากนี้เงินฝากที่เป็นรูปแบบของประกันชีวิตก็ยังหักภาษีได้ด้วยจ้ะ เราทำไว้ปีละ 5 หมื่นบาท ครบขีดที่หักภาษีได้เลยล่ะ เจ้าหญิงมีเงินฝากระยะยาวแบบประกันชีวิตไหมจ๊ะ ถ้ายัง..น่าจะมีไว้บ้างนะ ตอนนี้ที่ธนาคารกรุงเทพออกมาโปรแกรมนึง ชื่อ "เกนเฟิร์สต์ 220" จ้ะ ต้องฝากเงินปีละประมาณ 16,700 บาทติดกันเป็นเวลา 10 ปี คิดดูแล้วดอกเบี้ยประมาณ 4 เปอร์เซนต์ ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารธรรมดามาก ดูแล้วผลตอบแทนค่อนข้างดีทีเดียวนะจ๊ะ แต่เป็นการออมเงินระยะยาวน่ะจ้ะ คือต้องฝากติดต่อกัน 10 ปีถอนไม่ได้ แต่มันจะดีสำหรับบั้นปลายชีวิตนะ และลดภาษีได้ด้วย นอกจากนี้ ถ้าเสียชีวิตหรือทุพพลภาพระหว่างนี้ ก็จะได้เงินก้อนแบบประกันชีวิตด้วยจ้ะ ก็..เป็นการดูแลตัวเองในระยะยาวอีกทางหนึ่งนะ แล้วก็เป็นการลงทุนที่ปลอดภัยจ้ะ ไม่ค่อยมีความเสี่ยง ดีกว่าซื้อพันธบัตรหรือกองทุนรวมอีกนะ

เอ้อ จริงๆ เรื่องเงินๆทองๆพวกนี้ก็ไม่ค่อยชอบหรอกนะจ๊ะ แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราเนอะ ก็จำเป็นต้องศึกษาเอาไว้บ้าง ถ้าเราไม่ดูแลตัวเองแล้วใครจะดูแลล่ะ..

ชวนคุยเรื่องเวียนหัวแต่เช้าเลย แต่วันนี้ว่าจะออกไปธนาคารน่ะจ้ะ เพื่อจัดการธุระส่วนตัวเรื่องเหล่านี้ และอาจต้องย้ายเงินออกจากบัญชีออมทรัพย์บ้างจ้ะ ไปฝากประจำหรือรูปแบบอื่นๆบ้างเพื่อให้ดอกเบี้ยมันดีขึ้นหน่อย คือ..เงินก็ไม่ค่อยได้ใช้น่ะจ้ะ โดยเฉพาะช่วงหลังแผ่นดินไหวมานี่ ไม่ค่อยนึกอยากซื้ออะไรเลย

คิดถึงเจ้าหญิงมากนะจ๊ะ..อยากให้ดูแลตัวเองให้ดีๆในทุกๆด้านของชีวิตเลย

สวัสดีตอนเช้าจ้ะ
สาวชาวสวน

จดหมายรักฉบับสุดท้าย (ของคนอื่น)


เจ้าหญิงจ๊ะ

จริงๆเมื่อวานอ่านรวมเรื่องสั้นของนักเขียนหลาย ๆ คนด้วย อ่านแล้วก็... ไม่ค่อยชอบแฮะ คือเรื่องแต่ละเรื่องมันจะซ้ำๆ หยาบๆ แล้วมันก็มีการปรุงแต่งเเละพยายามจะให้ดีให้เท่เยอะน่ะจ้ะ เราคิดว่า นักเขียนแนวๆนี้ บางทีมีความอยากเป็นนักเขียนมากกว่าอยากเขียน ดูแล้วก็รู้ว่าเป็นนักเขียนที่..อ่านน้อย (ดูถูกเขาไปไหม) และมุ่งมั่นที่จะเขียนงานของตนเองถ่ายเดียว เพื่อให้ส่งไปประกวดได้รางวัลโน่นนี่ แล้วก็เอามาต่อท้ายเกียรติประวัติของตนตรงท้ายเล่มซึ่งมันก็..ไม่ค่อยมีความหมายนะ สำหรับผู้อ่านฉลาดๆ อย่างเรา

นอกจากนี้ มันยังขาดพลังของอารมณ์ที่คิดว่า มันต้องเขียนออกมานะ เพราะถ้าไม่เขียนแล้วข้างในจิตใจมันจะแย่ มันจะระเบิด เหมือนกับงานของหลายๆคนที่เราอ่านแล้วรู้สึกยิ่งกว่ารู้สึกโดนยิ่งกว่าโดนน่ะจ้ะ มันเลยเฝือๆแฮะ

เวลาซื้อหนังสือมาแล้ว รู้สึกว่าหนังสือบางเล่มช่างไม่คู่ควรกับผู้อ่านอย่างเรา (ฮา ผู้อ่านคนนี้เชิดหยิ่งมากๆ) ก็อยากเอาไปคืนและขอเปลี่ยนเล่มใหม่มานะจ๊ะ เพื่อให้คุ้มค่ากับเงินที่ซื้อหนังสือไป แต่ในเมื่อคงทำไม่ได้ ก็คิดว่า ไม่ต้องทนอ่านให้จบดีกว่า เพราะถ้าอ่านคงจะไม่คุ้มค่ากับอารมณ์ สายตาและเวลาของผู้อ่าน (สวยเริ่ดเชิดหยิ่ง) คนนี้ เอาเวลาไปตะไบเล็บดีกว่า

วันนี้เปิดเมล์บ็อกซ์ของที่ทำงานน่ะจ้ะ พบจดหมายจากคุณอรรถ ซึ่งเป็นชายไทยสมรสกับหญิงอังกฤษ สองคนนี้ทำมูลนิธิซึ่งร่วมงานกับองค์กรของเรา คุณเอมมาป่วยเป็นมะเร็งน่ะจ้ะ ทราบข่าวเมื่อซักต้นปี จากนั้นก็อาการรุนแรง จนเพิ่งเสียชีวิต อ่านจดหมายเขาแล้วก็...แม้ว่าจะไม่ได้ฟูมฟายอะไรนะจ๊ะ แต่เราก็รู้สึกว่ามันสวยและจริงแท้(เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงของจริงน่ะสิจ๊ะ) เลยแปลมาให้อ่านดูน่ะจ้ะ

ถึงเพื่อนๆ ของเอมมา

วันที่ 20 พฤศจิกายน เวลา 7:30 ภรรยาที่รักและคู่ชีวิตตายในอ้อมกอดของผม

หลังจากที่เราได้รับข่าวร้ายว่า มะเร็งของเธอลุกลาม และทราบว่าโรคของเธอเปลี่ยนจากโรคที่รักษาได้เป็นอาการระยะสุดท้าย เราก็ย้ายมาอังกฤษด้วยความหวังว่า ลูกสาวของเราจะได้มีโอกาสเติบโตขึ้นในแวดล้อมของครอบครัวของเอมมา และว่าเอมมากับผมจะมีโอกาสที่จะต่อสู้มะเร็งร่วมกัน (โดยการทำคีโมและถือโอกาสนั้นมีความสุขกับเวลาที่เราจะได้อยู่ร่วมกัน) แต่โชคร้าย หลังจากที่อยู่ที่บ้านแม่ของเธอได้เพียงคืนเดียว เราก็ต้องรีบไปโรงพยาบาล และได้รับทราบข่าวว่า มะเร็งนั้นลุกลามไปในขั้นที่น่ากลัว

ระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาล เอมมาไม่เคยหมดสิ้นความหวัง ในขณะเดียวกันก็ไม่อาจเพิกเฉยต่อความเป็นจริงว่าโอกาสอันริบหรี่นั้นไม่เข้าข้างเรา สุขภาพของเธอทรุดลงอย่างรวดเร็ว แต่ความมุ่งมั่นและกำลังใจของเธอไม่เคยหยุดทำให้ผมอัศจรรย์ใจ แม้กระทั่งในวาระคับขัน เอมมาก็ยังคุยถึงไอเดียว่าโครงการควรจะเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างไรและองค์กรที่เราร่วมกันก่อตั้งขึ้นจะสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนใหม่ๆในระดับนานาชาติได้อย่างไร เธอตั้งใจที่จะทิ้งไอเดียเหล่านั้นไว้ให้ผม เพื่อว่าวันหนึ่ง ความคิดประดามีของเธอจะได้แตกหน่องอกงามเป็นความจริง

ในช่วงวันสุดท้าย (สัปดาห์ที่แล้ว) เราย้ายไปพักอยู่ที่บ้านพักผู้ป่วยระยะสุดท้ายในโรงพยาบาล ที่นั่นเอมมาพูดถึงพี่แขและทีมของเรา เมื่ออยู่กับพยาบาลกะกลางคืน เธอพูดถึงผมกับเอลลา และพูดถึงความฝันของเธอ ซึ่งจะเป็นเรื่องเดิมที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกคืน เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามที่ว่า เมื่อเธอจากเราไป..ลูกสาวกับผมจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร

งานศพจะมีในวันเสาร์หน้า แต่สำหรับท่านที่มางานนี้ไม่ได้ เอมมาขอร้องให้จัดงานอีกครั้งหนึ่ง (อาจเป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิ) เป็นงาน "ปาร์ตี้" รำลึกถึงเธอ เพื่อให้คนได้มาพบปะกัน สนุกสนานและทำความรู้จักกัน โปรดติดต่อผมถ้าคุณอยากมาร่วมงานหนึ่งในงานทั้งสอง สำหรับปาร์ตี้รำลึกถึงเธอ ผมจะจัดการประสานงานให้ได้เวลาที่สะดวกที่สุดสำหรับท่านที่ประสงค์จะมาร่วม และโปรดระลึกไว้ว่า ข้อกำหนดเรื่องการแต่งกายเพียงประการเดียวที่เราอยากจะแนะนำคือ โปรดอย่าสวมชุดไปงานศพ

วันนี้ 22 พฤศจิกายน คือวันครบรอบแต่งงานปีที่ 10 ของเรา และผมคิดถึงเธอ

ด้วยความนับถือ
อรรถ

สวัสดีตอนสาย(อีกครั้งสำหรับวันนี้)จ้ะ
สาวชาวสวน

ไร้เลือดและความเปลี่ยนแปลง

เจ้าหญิงน้อย

อ่านไร้เลือดจบแล้วด้วยความเร็ว คาดว่าจะต้องอ่านใหม่อีกรอบเพื่อเก็บรายละเอียด เห็นใครๆก็บอกว่าต้องอ่านหลายรอบไม่ใช่หรือ เพื่อจะได้รับรู้รสชาติที่ต่างออกไป ใช่ไหมจ๊ะ

ความรู้สึกในการอ่านรอบแรก คือมันน่าทึ่งจริงๆจ้ะ เราว่าเรื่องสั้นๆ ใช้คำน้อยๆ ก็มีพลังดีนะ แม้ว่าในบางครั้ง การเขียนบรรยายเปรียบเทียบความรู้สึกเยอะๆ ก็กินใจไปอีกแบบนึง สรุปว่า เราชอบการเขียนทั้งสองสไตล์นะ ขอให้ทำให้ถึงก็แล้วกัน

เขาพูดเรื่องความรักได้อย่าง..ลึกซึ้งมากเลย เราชอบฉากการเจอกันครั้งแรกที่ติโตเปิดประตูไม้แล้วเห็นนีนานอนขดอยู่ มันเป็นอะไรที่โลกหยุดหมุน..เป็นการเกิดขึ้นของความรักที่..ไม่คาดคิด ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดที่สุดและเป็นไปได้น้อยที่สุด ไม่น่าเชื่อเลย และฉากสุดท้ายบนเตียงน่ะจ้ะ ที่ผู้หญิงพยายามจะย้อนสถานการณ์ไปสู่วันที่เจอกันครั้งแรก และบอกว่า

"ไม่มีอะไรที่จะทรงพลังรุนแรงมากไปกว่าสัญชาตญาณที่จะหวนคืนสู่สถานที่ซึ่งถูกหักทำลาย และจำลองนาทีนั้นขึ้นมาใหม่ชั่วกาลนาน หล่อนกำลังคิดเพียงว่า ใครก็ตามที่ช่วยให้รอดมาได้สักครั้งก็จะทำเช่นนั้นได้ตลอดกาล"

คือแค่นี้มันบอกว่าที่ผ่านมา ผู้หญิงคนนี้มีชีวิตที่เจ็บปวดและทุกข์ทรมานแค่ไหนจากเหตุการณ์ครั้งนั้น และความรักอันนี้อันเดียวที่มัน..เยียวยาเขาได้ ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย ด้วยท่านอนท่านี้ ในสถานการณ์ที่โหดร้ายที่สุดน่ะ มันก็เศร้านะ

เราสะดุดใจน่ะจ้ะที่เจ้าหญิงบอกว่า แก่ตัวลงแล้วเราเหมือนมีมิติมากขึ้น คิดๆดูก็อาจจะจริงอย่างนั้น คุณสมบัติบางประการของมนุษย์มันมาพร้อมกับเวลามั้งจ๊ะ เราเองก็รู้สึกดีใจนะและชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้ ชอบมากกว่าชีวิตที่ดีพร้อมไปหมดไม่มีอะไรแปดเปื้อนเสียอีก และความเจ็บปวดมันก็ขัดเกลาคนไง เหมือนที่ติโตบอกกับนีนาว่า มีของมากมายที่ต้องทำลายก่อน จึงจะสร้างสิ่งที่เราต้องการได้ มันต้องเจ็บปวด มันต้องยอมเสีย ยอมตาย เพื่อโลกที่ดีกว่า ฯลฯ น่ะจ้ะ

ปีนี้รู้สึกว่าชีวิตเปลี่ยนไปเยอะน่ะจ้ะ เข้าถึงมิติอารมณ์ที่ซับซ้อน ความคิดในเชิงปรัชญาและจิตวิญญาณได้มากกว่าเดิม หนังสือเล่มเดิมที่อ่านแล้วไม่เคยรู้สึกอะไร แต่กลับรู้สึกลึกซึ้งดื่มด่ำในตอนนี้

โลกของเราคงเปลี่ยนแปลงไปแล้วจริงๆ

เราคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเจ้าหญิงนะจ๊ะ พอเรารู้สึกว่าเข้าใจความซับซ้อนที่เจ็บปวดของเจ้าหญิง เราก็..เหมือนเข้าใจโลกได้ลึกซึ้งมากขึ้นด้วยจ้ะ

เจ้าหญิงเป็นคนสำคัญในชีวิตของเรานะจ๊ะ

สาวชาวสวน

คนรักของเทรซี่


หวัดดีตอนค่ำจ้ะ เจ้าหญิงน้อย

วันนี้ทานข้าวเย็นเสร็จแล้ว รู้สึกเพลียมากทีเดียว เหมือนนอนไม่ค่อยพอ อากาศหนาวมากตอนกลางคืนน่ะจ้ะ เลยทำให้หลับไม่ค่อยสนิท และตื่นมาไออยู่พักใหญ่ รู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายอ่อนแอมากเลย ก็เพราะหวัดที่เป็นแล้วไม่หายเสียทีนี่แหละจ้ะ บวกกับอากาศที่มันเปลี่ยนแปลงด้วยมั้ง

แต่ก็..ยังแข็งแรงกว่าเจ้าหญิงหน่อยนึงมั้งจ๊ะ เพราะอัพเดทแต่ละวันทีไร ก็จะมี..ปวดหัว ปวดคอ ปวดกราม ปวดตา ฯลฯ สลับกันไปไม่เว้นแต่ละวัน.. เราขอให้พ้นช่วงนี้ไปก็พอแล้วนะ อาการป่วยไข้..

อืมม์ วันนี้เล่าให้หนูน้อยฟังเรื่องเทรซี่ แช็ปแมนกับคนรักของเธอดีกว่า คือสรุปว่า เทรซี่นี้เป็นคนที่ค่อนข้างมีโลกส่วนตัวมากทีเดียว ไม่ค่อยให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเรื่องส่วนตัวสักเท่าไร และข้อเท็จจริงที่ว่าเธอเป็นเลสเบี้ยนหรือไม่ ก็ไม่เป็นที่เปิดเผย มีแต่คนคาดเดากันไปต่างๆนานานะจ๊ะว่าเธอเป็น ช่วงหนึ่ง มีข่าวลือว่าเทรซี่เป็นคนรักของ อลิซ วอล์คเกอร์ ที่เป็นนักเขียนรางวัลพูลิตเซอร์เรื่อง "เลือดสีม่วง" The Color Purple น่ะจ้ะ และมีครั้งหนึ่ง ที่มีข่าวลือออกมาอีกว่า เทรซี่ได้เอาเงินประมาณ 6 หมื่นเหรียญสหรัฐไปให้กับลูกสาวของอลิซ วอล์คเกอร์เพื่อให้เอาไปเปิดร้านอะไรสักอย่างทำธุรกิจส่วนตัว

เรื่องนี้คงเป็นข่าวลือไปอีกนานนะ เราอ่านเจอในเว็บ the Guardian เมื่อปลายปีที่แล้ว อลิซ วอล์คเกอร์ออกมาให้สัมภาษณ์น่ะจ้ะ แล้วก็สารภาพว่าเรื่องที่เคยเป็นคนรักของเทรซี่ แช็ปแมนเป็นเรื่องจริง เล่นเอาฮือฮากันไปทั้งวงการเลย

ตอนนั้นมีคนไปสัมภาษณ์อลิซในเรื่องชีวิตและงานทั่วๆไป ก็ถามถึงเรื่องนี้ด้วย ว่าคนทั่วไปก็ยังสงสัยติดค้างเรื่องความรักของเธอกับเทรซี่ในช่วงกลางทศวรรษที่ 90 คนสัมภาษณ์บอกว่า พอเอ่ยถึงเทรซี่ ใบหน้าของอลิซก็สว่างขึ้นมาทันทีแล้วบอกว่า "ใช่แล้ว ฉันรักช่วงเวลาเหล่านั้นมาก" คนถามถามต่อว่า ทำไมช่วงนั้นเรื่องถึงปิดเงียบนัก เธอตอบว่า "มันคงเงียบเพราะคุณไม่ได้อาศัยอยู่แถวๆบ้านเรา" อลิซบอกว่าได้เขียนถึงความสัมพันธ์ครั้งนี้เก็บไว้ในบันทึกส่วนตัวด้วย ซึ่งเธอมีแผนที่จะตีพิมพ์มันสักวันหนึ่ง แต่ทั้งอลิซและเทรซี่ก็ไม่ได้คิดจะใช้เรื่องราวความสัมพันธ์ของตัวเองออกมาเปิดเผยเพื่อรณรงค์ส่งเสริมความสัมพันธ์แบบทางเลือกในสังคมเหมือนคู่รักเลสเบี้ยนคู่อื่น ๆ อลิซบอกจ้ะว่า

"ฉันไม่มีวันที่จะทำอย่างนั้น ชีวิตของฉันไม่ใช่สิ่งที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตคนอื่น และความสัมพันธ์ก็แสนหวาน น่ารักและแสนวิเศษ ฉันมีความสุขกับช่วงเวลาเหล่านั้นมาก แล้วฉันก็ตกหลุมรักเธออย่างสมบูรณ์ในตอนนั้น แต่มันไม่ใช่ธุระของใครอื่นนอกจากเรื่องส่วนตัวของเรา"

ปีนี้อลิซอายุ 62 ปีแล้ว แต่ก็ยังดูสาวอยู่มากทีเดียวจ้ะ (ดูรูปสิ) อายุมากกว่าเทรซี่ก็ประมาณ 20 ปีได้นะ โอ..เซ็กซี่จังมีแฟนเด็กกว่าตั้งเยอะ แล้วก็ยังไม่มีความตั้งใจที่จะหยุดทำงานนะ เธอให้สัมภาษณ์ว่า "ในวัฒนธรรมที่คนต้องเลิกทำงานเมื่ออายุหกสิบ คนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นปราชญ์ แต่ในเกาหลีใต้ พวกเขาเชื่อว่าเมื่อคุณอายุหกสิบ คุณก็จะกลายเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น ช่วงชีวิตที่เหลือ จึงควรเป็นช่วงเวลาที่สนุกสนาน มีความสุข และคนอื่นๆควรปล่อยให้เราทำอะไรได้ตามใจชอบ ฉันคิดว่านี่เป็นความคิดที่ฉลาดสุดยอด มันคือความเข้าใจอย่างเป็นยุทธศาสตร์ว่าคุณควรจะได้พักผ่อนและทำอะไรตามใจชอบอย่างเต็มที่ "

พูดถึงอลิซ วอล์กเกอร์หน่อยนึงก็แล้วกัน คือเขาเป็นไบเซ็กช่วลมั้งนะจ๊ะ ตอนสาวๆแต่งงานกับผู้ชายและมีลูกเป็นอย่างดี ส่วนเรื่องงานเขียนนั้น ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดก็คือเรื่อง "เลือดสีม่วง" นั่นแหละจ้ะ พิมพ์ถึง 5 ล้านเล่ม 25 ภาษา ซึ่งตอนที่แปลเป็นภาษาไทย แปลโดย อัครมุนี ซึ่งเราไม่ได้อ่าน เพราะรู้สึกว่ามันไม่ค่อยสนุก แต่ได้ดูหนังน่ะจ้ะ ตอนหลังมีคนเอาไปทำเป็นละครบรอดเวย์ด้วยนะ แต่หลังจากเล่มนั้นมาแล้ว หนังสือเล่มอื่นๆก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไรน่ะจ้ะ เหมือนเขียนตามใจผู้เขียนมากกว่า

จำได้ว่าเคยอ่านเล่มหนึ่งของอลิซ ซึ่งชื่อหนังสือเพราะมาก ชื่อว่า "Possessing the Secret of Joy" แปลว่า การได้ครอบครองความลับแห่งความเบิกบาน ประมาณนี้น่ะจ้ะ แต่เรื่องเครียดนิดหน่อย เราเลยอ่านได้ไม่จบน่ะจ้ะ เป็นเรื่องของผู้หญิงอาฟริกันคนหนึ่งที่อพยพมาอาศัยอยู่ในอเมริกา ทีนี้ผู้หญิงคนนี้เขามาจากวัฒนธรรมที่มีการขลิบอวัยวะเพศของผู้หญิง (ส่วนที่เป็นคลิตอริสน่ะจ้ะ) แล้วพอมาอเมริกานี่บ้านแตกสาแหรกขาด พ่อแม่ก็ไม่อยู่บ้านเกิดก็ไม่มีให้กลับ เขาก็เลยเกิดความทุกข์และต้องหาหาอะไรบางอย่างมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองไร้ราก ก็เลยตัดสินใจไปขลิบอวัยวะเพศออก แล้วก็ประสบปัญหาทางจิตใจมากมายจนใกล้ๆจะเป็นบ้า (มั้ง จำไม่ค่อยได้จ้ะ) พอดีอลิซให้สัมภาษณ์ว่า เขียนเรื่องนี้เพราะ ต้องการพูดถึงผู้หญิงที่ไม่เท่าทันกับสังคมและความเป็นไปในโลก ทำให้ในที่สุดต้องทำร้ายตัวเองเพียงเพื่อจะแสวงหาความเป็็นตัวตนหรือความเป็นใครคนหนึ่งที่มีที่ทางในโลกนี้ แล้วบอกว่า เปรียบเสมือนกับผู้หญิงที่รู้สึกว่าจะต้องใส่รองเท้าส้นสูงเพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเองดูดีมาก เซ็กซี่มาก ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันเป็นอันตรายต่อสุขภาพเท้าอย่างยิ่งยวดน่ะจ้ะ

เราคิดๆอยู่ว่า อยากจะกลับไปอ่านหนังสืออะไรที่เคยอ่านเมื่อหลายปีก่อนแล้วอ่านไม่จบดูใหม่อีกครั้ง เพราะเราอาจจะต้องอาศัยวัยวุฒิและความเข้าอกเข้าใจในโลกและชีวิตในระดับหนึ่งก่อนที่จะเข้าใจเรื่องราวบางอย่างได้อย่างลึกซึ้งขึ้นน่ะจ้ะ ซึ่ง..ในวันนี้..ปีนี้ สำหรับเราเวลานั้นมันอาจจะมาถึงแล้วก็ได้ อย่างที่บอกน่ะจ้ะ เราชอบตัวเองตอนที่แก่ตัวลงมากกว่าตอนสาวๆด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น ยอมรับความจริงได้มากขึ้น ปล่อยวางมากขึ้น ขำกับชีวิตได้มากขึ้น แล้วก็..อ่านหนังสือได้รู้เรื่องมากขึ้นด้วยนี่แหละจ้ะ

ก็...พร่ำเพ้อมาเยอะอีกตามเคย วันนี้รู้สึกเหนื่อยจังและอยากนอนยาวๆให้ได้พักเต็มที่นะ (แต่ไ่ม่รู้จะหลับลงหรือเปล่า) พรุ่งนี้..เราอาจจะสบายๆ และอาจหาโอกาสมางีบหลับหรือทำงานเงียบๆในห้องตอนกลางวันได้บ้างนะ หวังว่า

เจ้าหญิงดูแลตัวเองนะจ๊ะ เราจะไปพักผ่อนแล้ว
สาวชาวสวน

เหมือนตกหลุมรักอีกครั้ง


หวัดดีจ้ะ เจ้าหญิงน้อย


อย่างที่บอกน่ะจ้ะ ว่าอ่านจดหมายจบแล้วก็มีความรู้สึกที่แปลกออกไป..ไม่ใช่เพราะเรื่องราวของใครในจดหมายเป็นพิเศษนะจ๊ะ แต่เป็นความรู้สึกต่ออารมณ์ของจดหมายโดยรวม อาจเป็นเพราะวันนึ้ป่วยนิดๆ รู้สึกร่างกายและจิตใจอ่อนแอและอยากอ้อนเป็นพิเศษมั้ง มันเหมือนตกหลุมรักอีกครั้งหนึ่งน่ะจ้ะ แต่เป็นการตกลงไปในหลุมเดิม แต่ลงไปลึกกว่าเดิมอีก ก็รักเจ้าหญิงคนเดิมน่ะแหละจ้ะ

เหมือนเวลาได้อ่านจดหมายยาวๆ แล้วมันรู้สึกลึกซึ้งมากขึ้นน่ะจ้ะ ความโหยหาที่เคยมีมันก็มีมากขึ้น มันไม่ได้เป็นความโหยหาทางกายที่จะสามารถบรรเทาเบาบางด้วยจินตนาการและสัมผัสทางกายเท่านั้น ถ้าพายุผ่านพ้นไป ความรู้สึกทางร่างกายอาจจะคลี่คลายลงไป แต่พอถึงวันนี้ เท่าที่รู้คือความโหยหาที่มีไม่ได้บรรเทาเบาบางลงไปเลยเพราะมันเป็นความโหยหาทางจิตใจด้วยน่ะสิจ๊ะ มันไม่ใช่แค่อยากสัมผัส อยากกอดและอยากจูบ แต่ความต้องการที่จะกอดรัดสัมผัสแนบชิดนั้น มันเกิดขึ้นเพราะจิตใจต้องการให้มีการสัมผัสกันอย่างลึกซึ้งด้วย แต่ยิ่งนานมันก็ยิ่งลึกขึ้นแล้วอีกหน่อย..จินตนาการและสัมผัสทางกายก็คงไม่มีความหมายเพียงพอ เท่ากับการได้เห็นแววตาจริงๆ และรอยยิ้มที่จริงแท้ที่ขยับเคลื่อนไหวได้เสียแล้วกระมังจ๊ะ

ถ้าความคิดถึงและโหยหาเป็นเรื่องของหัวใจสองดวงที่อยากจะโผเข้าหากันอยู่ตลอดเวลา แล้วจะมีอะไรอื่นที่ทำให้ความคิดถึงและโหยหานั้นสิ้นสุดลงได้? วันหนึ่ง (อันใกล้นี้) จินตนาการและสัมผัสของตัวเราเองก็คงจะช่วยอะไรเราไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ความโหยหาและการรอคอยก็คงจะ..ทรมานมากขึ้น แล้วก็..ยิ่งหวานมากขึ้น บาดลึกมากขึ้นด้วยนะ การถึงจุดสุดยอดมันก็คงจะเป็นเรื่องตื้นเขินไปเสียเลย ถ้าเทียบกับว่า..จะได้สูดลมหายใจอุ่นๆ ได้ยินเสียงหัวใจเต้น ได้เอาแก้มแนบกับผิวเนื้อที่รู้สึกได้ว่ามันอุ่น หรือการได้ยินเสียง..ของคนที่เรารักและคิดถึงและโหยหา หรือทุกอย่างที่กล่าวมาในเวลาเดียวกัน

ส่วนเราเอง เช้านี้ก็..รู้สึกอัศจรรย์ใจกับความรู้สึกของตัวเองนี้มากทีเดียวจ้ะ จนต้องลุกขึ้นมาเขียนบันทึกไว้ในจดหมายนี้อีกครั้ง มันเหมือน เราเปิดหน้าดินออกมาในความลึกระดับหนึ่ง แล้วก็มองเห็น..อะไรดีล่ะ ใต้ดินเรียบๆแห้งๆนั้นมีดินสีดำที่อุดมสมบูรณ์ชุ่มฉ่ำอยู่ ที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อนว่าภายใต้ดินแห้งๆแข็งๆนี้มีสารอาหารที่สามารถทำให้ต้นไม้เติบโตได้..

แต่วันนี้ ขุดลึกลงไปอีกนิดนึงแล้วพบว่า ใต้ดินชุ่มฉ่ำนั้น จริงๆแล้วมีลำธารน้ำใต้ดินสายเล็กๆ วิ่งผ่าน ที่คอยหล่อเลี้ยงดินดำที่ชุ่มฉ่ำนั้นอีกทีน่ะจ้ะ เราสงสัยจริงๆเลยจ้ะ ว่าเส้นทางนี้จะพาเราไปถึงไหนอีก... ถ้าขุดดินลึกลงไปอีก จะเจออะไรอีก

อ่านเรื่องเจ้าหญิงตอนที่ลำบากตอนเด็กๆแล้วสงสารมากทีเดียวจ้ะ ก็..เข้าใจนะว่ามันเป็นอดีต และตัวเจ้าหญิงเองอาจจะมองย้อนกลับไปอย่างขำๆ หรือเอ็นดู แต่เราสงสารมากจนน้ำตาจะไหล มันทำให้เรารู้สึกอยากทะนุถนอมและปกป้องดูแลเจ้าหญิงให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้เลยจ้ะ

เฮ้อ..ที่พร่ำเพ้อมาทั้งหมดนี้ก็..คิดถึงมากนะจ๊ะ..โดยเฉพาะจากเช้านี้แล้ว ความรู้สึกคิดถึงที่เคยพูดๆพร่ำบอกมาก็ยิ่งฝังรากลึกลงไปอีก หวังว่าจะเข้าใจและสัมผัสได้นะ เจ้าหญิงน้อยของเรา

ณ จุดนี้ในชีวิตฉัน

เจ้าหญิงจ๊ะ

เราอ่านจดหมายของเจ้าหญิงแล้ว..รู้สึกหัวใจสั่นสะเทือนอย่างบอกไม่ถูก มีหลายความรู้สึกปนๆกันไป แต่อธิบายไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร มันตื้นตันใจ เศร้า สะทกสะท้อน แล้วก็อ่อนหวานมาก เรายังรู้สึกว่า เจ้าหญิงเปิดใจกับเรามากๆเลยที่เขียนแบบนี้ นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เรียกว่า "สัมผัสใจ" หรือเปล่าจริงๆแล้วเพลง The Promise เป็นเพลงที่ตรงกับใจเราตอนนี้มากๆเลยจ้ะ พอเรานั่งฟังเนื้อร้องโดยละเอียดแล้วรู้สึกขนลุก เพราะหลายคำพูดและหลายประโยคมันตรงกับคำพูดและประโยคของเรามาก จึงขอถือเอาเพลงนี้เป็น "เพลงของเรา" เลยนะจ๊ะ

การย้อนกลับมาฟังเพลงเทรซี่ในตอนนี้อีกครั้ง เป็นความรู้สึกที่ต่างไปจากความชอบในอดีตนะ เพราะใจมันเปิดรับและดื่มด่ำกับเพลงอย่างมากขึ้น และกลายเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายสำหรับเรามากเหมือนเกิดปาฏิหาริย์เล็กๆขึ้นน่ะจ้ะ โดยเฉพาะเมื่อได้รับรู้ว่าเจ้าหญิงก็คลิกกับมันเหมือนกัน เหมือนกลายเป็นช่องทางการถ่ายทอดความรู้สึกอีกช่องทางหนึ่งระหว่างเรานะ

อีกอย่างหนึ่ง เรามีความรู้สึกลึกๆ (เดา) ว่าคนรักของเทรซี่ แช็ปแมนน่าจะเป็นผู้หญิงน่ะจ้ะ เพราะจากเพลงหลายเพลงวิธีการบอกรักมันอ่อนหวานมาก เหมือนว่า..ผู้หญิงเท่านั้นที่จะบอกรักได้อย่างนี้ และผู้หญิงเท่านั้นที่คู่ควรจะได้รับคำบอกรักแบบนี้น่ะจ้ะ ไม่รู้เพ้อเจ้อไปไหมนี่เราไปฟังอีกเพลงหนึ่งชื่อ At This Point In My Life แล้วรู้สึกว่า.. เป็นลีลาการบอกรักอย่างออดอ้อนที่หวานมากสำหรับคนในวัยเราที่ผ่านชีวิตกันมาเยอะแยะ ทำให้เราคิดถึงตัวละครในเรื่องของคนบางคน ที่ (ในเนื้อเพลงบอกว่า) "ทำสิ่งที่ผิดมามากมาย จนไม่รู้ว่าจะสามารถทำอะไรถูกได้หรือเปล่า" และแม้ว่าชีวิตส่วนใหญ่ก้าวเดินอยู่ในเงามืด ก็ยังคงตามหาแสงสว่างอยู่เสมอ

เพลงนี้ไม่มีอะไรตรงกับเราเท่าไหร่หรอกจ้ะ เพราะชีวิตเราก็ไม่ได้มีอะไรมากมายถึงขนาดจะต้องบอกรักกับใครแบบนี้แต่เราเดาว่า สำหรับเด็กดื้อบางคน เมื่อเจริญวัยขึ้นและรู้สึกว่ารักใครสักคนจริงๆ ก็อาจจะต้องอ้อนวอนขอความรักด้วยเพลงนี้แหละจ้ะ และลองฟังดูแล้ว..ถ้ามีคนมาบอกรักแบบนี้จะไม่ใจอ่อนอย่างไรไหว

ลองดูเนื้อเพลงสิจ๊ะ

ณ จุดนี้ในชีวิตฉัน
ฉันทำสิ่งที่ผิดมามากมาย จนไม่รู้ว่าจะสามารถทำถูกได้หรือเปล่า
ถ้าเธอมอบความไว้วางใจให้กับฉัน
ฉันก็หวังว่าจะไม่ทำให้เธอต้องเสียใจ
ถ้าเธอให้โอกาส ฉันจะพยายาม

เธอจ๊ะ มันช่างเป็นถนนที่แสนยากลำบาก..ถนนเส้นที่ฉันเดินทางอยู่
และถ้าฉันคว้ามือเธอมา ฉันอาจจูงเธอไปสู่เส้นทางที่จะทำร้ายเธอ
ตลอดมาฉันมีชีวิตที่ยากลำบาก และฉันพูดออกมาเพื่อเธอจะได้เข้าใจ
ว่าขณะนี้ ณ ตอนนี้ ฉันกำลังทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว

ณ จุดนี้ในชีวิตฉัน
ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่แล้วฉันก้าวเดินอยู่ในเงามืด
ฉันก็ยังคงตามหาแสงสว่าง
เธอจะไม่มอบความเชื่อมั่นศรัทธาในตัวฉันหรอกหรือ
เราต่างรู้ดีว่าสิ่งที่สำคัญก็คือว่า..
ถ้าเธอให้โอกาสฉัน ฉันจะพยายาม

เธอจ๊ะ ตลอดมาฉันเฝ้าแต่ปีนป่ายบันได แต่ส่วนใหญ่แล้วก็จะสะดุดล้มลง
ฉันเอื้อมสูงแต่ก็มักจะเสียหลัก
เธอจ๊ะ ฉันไขว่คว้าถึงที่สูง แต่แล้วก็มักจะเสียหลัก
เธอจ๊ะ ฉันเอาชนะเนินเขาแต่ฉันยังมีภูเขาให้ต้องปีนป่าย
และขณะนี้ ณ ตอนนี้ ฉันกำลังทำดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้ว
ณ จุดนี้ในชีวิตฉัน

ก่อนที่เราจะออกก้าว
ก่อนที่เราจะเดินไปตามเส้นทาง
ก่อนที่ฉันจะให้คำสัญญาใดๆ
ก่อนที่เธอจะเกิดความสำนึกเสียใจ
ก่อนที่เราจะพูดกันเรื่องความสัมพันธ์ที่ถาวร
โปรดให้ฉันบอกเธอถึงอดีตของฉัน
ทั้งหมดที่ฉันได้เห็นและได้ทำลงไป
เรื่องราวที่ฉันอยากลืม

ณ จุดนี้ในชีวิตฉัน
ณ จุดนี้ในชีวิตฉัน
ฉันอยากจะมีชีวิตอยู่ราวกับว่าความรักเท่านั้นที่สำคัญ
ราวกับว่าการปลดเปลื้องชำระบาปนั้นเป็นสิ่งที่มองเห็นอยู่
(น่าจะหมายถึงประมาณว่า ความผิดหรือความเจ็บปวดในอดีตที่ผ่านมามีหนทางที่จะลบล้างหรือเยียวยาให้หมดได้น่ะจ้ะ)
ราวกับว่าการค้นหาหนทางที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสัตย์ซื่อ
คือทั้งหมดที่คนเราต้องการ
ไม่ว่าเธอจะค้นพบมันหรือไม่

เธอจ๊ะ เมื่อฉันได้แตะท้องฟ้า
แรงโน้มถ่วงของโลกก็จะฉุดฉันลง
แต่ตอนนี้ ฉันยอมรับความจริงได้ว่าในโลกใบนี้
นกและนางฟ้าเท่านั้นที่มีปีกสำหรับบิน
ถ้าเธอสามารถจะเชื่อหัวใจดวงนี้ของฉัน
ถ้าเธอจะให้โอกาสมันได้ลองพยายาม
แล้วฉันจะเอื้อมลงไปภายใน และค้นหา และมอบให้เธอ..
ความอ่อนหวานทั้งหมดที่ฉันมีอยู่
ณ จุดนี้ในชีวิตฉัน
ณ จุดนี้ในชีวิตฉัน

ไปฟังเพลงกันดีกว่า http://www.youtube.com/watch?v=hvgpEDzFsnA

แล้วก็เนื้อเพลงภาษาอังกฤษจ้ะ

At This Point In My Life

Done so many things wrong I don't know if I can do right
Oh I, Oh I've Done so many things wrong I don't know if I can do right
At this point in my life
I've done so many things wrong
I don't know if I can do right
If you put your trust in me
I hope I won't let you down
If you give me a chance I'll try

You see it's been a hard road the road I'm traveling on
And if I take your hand I might lead you down the path to ruin
I've had a hard life I'm just saying it so you'll understand
That right now, right now, I'm doing the best I can

At this point in my life
At this point in my life
Although I've mostly walked in the shadows
I'm still searching for the light
Won't you put your faith in me
We both know that's what matters
If you give me a chance I'll try

You see I've been climbing stairs but mostly stumbling down
I've been reaching high always losing ground
You see I've been reaching high but always losing ground
You see I've conquered hills but I still have mountains to climb
And right now right now I'm doing the best I can
At this point in my life

Before we take a step
Before we walk down that path
Before I make any promises
Before you have regrets
Before we talk commitment
Let me tell you of my past
All I've seen and all I've done
The things I'd like to forget

At this point in my life
At this point in my life
I'd like to live as if only love mattered
As if redemption was in sight
As if the search to live honestly
Is all that anyone needs
No matter if you find it
You see when I've touched the sky
The earth's gravity has pulled me down
But now I've reconciled that in this world
Birds and angels get the wings to fly
If you can believe in this heart of mine
If you can give it a try
Then I'll reach inside and find and give you
All the sweetness that I have

At this point in my life
At this point in my life

ปล. อ้อ..เราก็ชอบไอเดียที่ว่า เพลง The Promise (รัก) มาก่อนแล้วควรตามมาด้วยเพลง If not now (การร่วมรัก) เป็นตรรกะที่..ฟังดูหวานมากทีเดียวจ้ะ

วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2550

คำรักสำหรับวันที่ยังมาไม่ถึง มีค่าเท่ากับศูนย์ (จริงหรือ)


เจ้าหญิงจ๊ะ

หลังจากที่ได้คุยกันวันนี้ เราดีใจมากเลยที่ชอบเทรซี่เหมือนเรา เพลงนึงที่ฟังแล้วติดใจนิดๆก็คือ If not now จ้ะ (http://www.youtube.com/watch?v=nT_gC9zyMMY) ดูในวิดิโอตอนนั้นยังเด็กๆ อยู่เลย หน้าเครียดและจริงจังกับการร้องเพลงมาก แล้วช่วงนี้เขาจะยังเกร็งๆกับเสียงกรี๊ดชื่นชมของแฟนเพลงอยู่นะ เมื่อได้เห็นพัฒนาการด้านบุคลิกที่คลี่คลายและเปิดรับมากขึ้นก็รู้สึกดีจัง

นี่คือเนื้อเพลง

If not now then when
If now today then

Why make your promises
A love declared for days to come
Is as good as none
You can wait ´til morning comes
You can wait for the new day
You can wait and lose this heart
You can wait and soon be sorry

Now love is the only thing that's free
We must take it where it's found
Pretty soon it may be costly

If not now what then
We all must live our lives
Always feeling
Always thinking
The moment has arrived

ถ้าฟังจากเพลงนี้ สำหรับเทรซี่ แช็ปแมน ความรักไม่ใช่การรอคอย เราว่าเนื้อหามันก็เป็นอารมณ์คนใจร้อนน่ะจ้ะ ว่าถ้ารักกันแล้วจะต้องเดี๋ยวนี้ ณ ที่นี้ เราชอบวิธีการเป็นคนใจร้อนได้อย่างนุ่มนวลของเพลงนี้นะจ๊ะ ดูเนื้อร้องสิถ้าแปลออกมาก็ประมาณนี้...

ถ้าไม่ใช่ตอนนี้ แล้วเมื่อไร
ถ้าไม่ใช่วันนี้ แล้ว..ทำไมเธอต้องให้คำสัญญา
รักที่ประกาศไว้สำหรับวันที่จะมาถึง ก็มีค่าเท่ากับไม่มีอะไรเลย

(ชอบประโยคนี้จ้ะ เป็นการเปรียบเทียบให้เห็นภาพมากและตัดพ้อไปด้วยแบบนุ่มๆ นะ)

เธออาจจะรอจนรุ่งเช้ามาเยือน
เธออาจจะรอวันใหม่
เธออาจจะรอและสูญเสียหัวใจดวงนี้ไป
เธออาจจะรอ..แล้วไม่นานต้องเสียใจ

ความรักคือสิ่งเดียวที่เป็นอิสระ
เราต้องคว้ามันไว้ ณ ที่ที่รักถูกค้นพบ
รออีกหน่อย..อาจต้องแลกด้วยราคาแพง

ถ้าไม่ใช่ตอนนี้..แล้วยังไง
เราทุกคนล้วนต้องใช้ชีวิต
รู้สึกเสมอ
คิดอยู่เสมอ
ชั่วขณะนั้นมาถึงแล้ว

อืมม์ ความรักนี่มันรอไม่ได้จริงๆ หรือจ๊ะ สำหรับเรา บางที การรอมันอาจจะเป็นสิ่งที่เลือกไม่ได้ คนเรามักไม่ได้อะไรที่อยากได้ ณ ตอนนั้น ณ สถานที่นั้นที่อยากได้เสมอไป ก็มักต้องรอกันเสมอ เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนะ หรือบางที..ใจมันรอไปเอง เพราะมันไม่อยากรีบไปไหนนี่จ๊ะ จริงไหม แล้วถ้าไม่รอเสียเลยแบบเพลงนี้เนี่ย มันก็อาจจะต้องบอกว่า

ถ้าเธอไม่รอก็อาจจะต้องสูญเสียหัวใจดวงนี้ไป
ถ้าเธอไม่รอ..แล้วไม่นานก็ต้องเสียใจ

ล้อกับเนื้อเพลงเขาน่ะจ้ะ

แต่ในขณะเดียวกัน อีกเพลงของเทรซี่ ที่ชื่อ The Promise เป็นเพลงที่หวานมากๆ แล้วเขาก็ร้องได้หวานมากน่ะจ้ะ ก็ดูจะตอบกลับคนใจร้อนผู้นุ่มนวลในเพลงข้างบนได้ เหมือนเพลงแก้แบบหนุ่มนาข้าว สาวนาเกลือ (เอ๊ะ..ไม่ใช่ เหมือน..เอ่อเพลงอะไรที่ผู้ชายผู้หญิงร้องทำนองเดียวกันแต่ตอบกันไปมาน่ะจ้ะ)

เนื้อร้องบอกว่า

ถ้าเธอรอฉัน ฉันจะมาเพื่อเธอ
ถึงแม้ว่าฉันเดินทางแสนไกล
ฉันก็ยังเก็บพื้นที่ในใจฉันไว้สำหรับเธอเสมอ

ถ้าเธอนึกถึงฉัน
ถ้าเธอคิดถึงฉันบ้าง
แล้วฉันจะกลับไปหาเธอ
ฉันจะกลับไปหาและเติมเต็มช่องว่างในใจเธอ

(จดจำได้ สัมผัสของเธอ จูบของเธอ อ้อมกอดอันอบอุ่นของเธอ
ฉันจะหาหนทางกลับไปหาเธอจนได้ถ้าเธอยังรอ)

ถ้าเธอฝันถึงฉัน อย่างที่ฉันฝันถึงเธอ
ในสถานที่ที่อบอุ่นและมืดมิด
ในสถานที่ที่ฉันสามารถที่จะสัมผัสเสียงหัวใจเต้นของเธอ

(จดจำได้ สัมผัสของเธอ จูบของเธอ อ้อมกอดอันอบอุ่นของเธอ
ฉันจะหาหนทางกลับไปหาเธอจนได้ถ้าเธอยังรอ)

ฉันโหยหาเธอ
และฉันมีความปรารถนา
ที่จะได้เห็นหน้าเธอ ยิ้มของเธอ
ที่จะอยู่กับเธอไม่ว่าที่ไหนก็ตาม

(จดจำได้ สัมผัสของเธอ จูบของเธอ อ้อมกอดอันอบอุ่นของเธอ
ฉันจะหาหนทางกลับไปหาเธอจนได้โปรดบอก ว่าเธอยังรอ)

ถ้าอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
คงจะรู้สึกดีมากๆที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของเธอ
ณ ที่ที่การเดินทางทั้งหมดของฉันจบสิ้นลง
ถ้าเธอสามารถจะสัญญา
และถ้ามันเป็นสัญญาที่เธอรักษาได้
ฉันก็ขอสาบานว่าจะไปเพื่อเธอ
ถ้าเธอยังรอฉัน และบอกว่าเธอจะเก็บที่หนึ่งในหัวใจไว้สำหรับฉัน

แล้วก็ไปฟังกันเถอะ เพราะมาก http://www.youtube.com/watch?v=t-7jRCipZ40&feature=related

หวานมากจ้ะ น้ำตาลซึมเข้าเส้นเลือดและขึ้นสมองหมดแล้ว

ปรารถนาแห่งแสงจันทร์


เจ้าหญิงจ๊ะ

วันนี้มีเรื่องตื่นเต้นน่ะจ้ะ เพื่อนเราที่เพิ่งแต่งงาน (ใหม่) ไปเมื่อ 2 อาทิตย์ก่อนได้รับข้อความจากสามีเก่าให้ไปที่โรงพักน่ะจ้ะ ปรากฏว่าเขาถูกจับข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครอง และเมามากและขับรถด้วยจ้ะ แต่ตำรวจท่องเที่ยวเป็นไรไม่รู้ ใจดีกับฝรั่งมาก จึงยกโทษเมาแล้วขับให้ เพื่อนบอกว่า แกพกกัญชาอย่างดี มีบ้องอย่างสวยงามด้วยนะจ๊ะ

สรุปว่าเขาทำประชดเพื่อนที่แต่งงานใหม่น่ะจ้ะ ตอนที่เพื่อนจะเลิก 2 ปีกว่ามาแล้ว เขาทำใจไม่ได้เลยว่าเพื่อนไม่รักเขาแล้ว ใช้เวลานานกว่า 6 เดือนที่จะยอมย้ายออกไปจากบ้านน่ะจ้ะ ทีนี้เงียบหายไปพักนึง พอเพื่อนเมล์ไปบอกว่าจะแต่งงาน ก็เลยมีอาการเป็นแบบนี้ วิเคราะห์กันว่า เขาคงทำร้ายตัวเองแล้วเรียกเพื่อนซึ่งกำลังอยู่ในช่วงฮันนีมูนมาดูเพื่อความสะใจ เวลาก็นานมาแล้ว เขายังทำใจไม่ได้เลยจ้ะ

แต่น่าเสียดายจ้ะ เพื่อนไม่สงสารกลับโมโห ว่าอายุก็มากแล้วทำตัวเป็นเด็กๆ ไม่มีความรับผิดชอบต่อชีวิตตนเองและคนอื่น จึงให้ความช่วยเหลือแบบ ถือว่าช่วยเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งไป แล้วกลับมาบ่นเซ็งๆๆ

อยากเล่าถึงหนังสือเรื่อง “ปรารถนาแห่งแสงจันทร์” ของ “เงาจันทร์” เราชอบเรื่องหางนกยูง แล้วก็บุหลันแรม แล้วอีกเรื่อง เรื่องสุดท้ายที่จำชื่อไม่ได้ จำได้ว่ามีตัวละครชื่อคนึงน่ะจ้ะ

เขาเขียนงานแบบฉากเป็นดราม่ามากนะจ๊ะ แต่ความรู้สึกนั้นจริงแท้ไม่แปลกปลอม ลึกและละเอียดมาก เรื่องส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับรักสามเส้า รักต้องห้าม รักที่ไม่ควรรัก รู้อยู่แล้วว่ารักจะทำให้ตนเองและคนอื่นเจ็บปวด (แล้วแต่กรณี) แต่ก็ยังดันทุรังรัก ฯลฯ แล้วเขาพูดถึงเรื่องนี้ไว้ในเรื่องบุหลันแรมด้วยนะ เป็นระหว่างการเล่าเรื่องตัวละคร แล้วนักเขียนก็รำพึงถึงตัวละตนเองแบบทอดถอนใจด้วยนะ

ขอบอกว่ามันดีมากๆเลยจ้ะ ขนาดว่าแนวการเขียนแบบนี้ ไม่ใช่แนวที่เราชอบ แต่ถ้าคนเขียนทำได้ถึงมาก มันก็จับจิตจับใจ โดนแบบเต็มๆเชียวล่ะ

อ้าว ทนไม่ไหว ไปเอาหนังสือมาดีกว่าจ้ะ คือเรื่อง “บุหลันแรม” นี้ผู้หญิงชื่อแรมไปหลงรักครูใหญ่ ซึ่งมีฐานะสูงส่งกว่ามาก แล้วถูกครูใหญ่ข่มขืนจนท้อง ฉากข่มขืนบรรยายไว้สวยมากนะ (ได้ยังไงเนี่ย) บอกว่า

"ทุกอย่างของเขาร้อนเหมือนไฟและมันแผดเผาหล่อน หลอมละลายหล่อน ดูดกลืนหล่อนตลอดร่างทั้งร่าง เหมือนมีพายุประหลาดพัดผ่านฟากสวนแห่งนั้น และมันได้หอบกลีบดอกดาวกระจายปลิวว่อนขึ้นเหมือนผีเสื้อสีเหลืองรอบกายหล่อน แต่หล่อนไม่มีเวลาจะชื่นชมกับความสวยงามของผีเสื้อฝูงนั้น เพราะพายุโหมกระหน่ำใส่หล่อน กระแทกกระทั้นหล่อนอย่างต่อเนื่งจนโลกทั้งโลกป่วนคลั่ง...

"แล้วเขาก็จากไป.. ทิ้งหล่อนไว้กับพุ่มดอกไม้ที่แหลกลาญยับเยิน นานทีเดียวที่หล่อนนอนนิ่งเพื่อลิ้มรสปรารถนาอันเฝื่อนขมและขรุขระนั้น มันไม่ได้ปลุกหล่อนให้ตื่นขึ้นมีชีวิตใหม่ หากแต่มันได่ฆ่าหล่อนเสียแล้ว..."

เอ้า กลับคืนตรงที่จะบอกดีกว่านะ คือ แรมพอถูกครูใหญ่ข่มขืนแล้วท้อง ทิดเจิ่นซึ่งเป็นคนรูปชั่วตัวดำโง่เง่าประจำหมู่บ้านก็มารับอาสาเป็นพ่อเด็กให้ เพราะรักแรม แต่แรมเกลียด ก็จะคอยไล่ คอยปาข้าวของไล่ท่าเดียวน่ะจ้ะ ทำให้เขาเจ็บมาก และคนเขียนบรรยายไว้อย่างนี้

"ทิดเจิ่นก็ได้แต่หลบหลีกแล้วถอยไปยืนตาปริบๆอยู่ไกลๆ บัดนี้ใบหน้าแบนกว้างนั้นปราศจากรอยยิ้มมาเนิ่นนาน ดูเหมือนเขาจะลืมเสียสิ้นแล้วถึงความบันเทิงเริงใจแต่ครั้งอดีตของวัยหนุ่ม บัดนี้เขาเหมือนคนแก่ที่ผ่านความทุกข์มาอย่างหนัก เขาไม่โกรธที่แรมเกลียดเขา แต่กลับคิดว่ามันจะดีแก่หล่อนที่ได้เกลียดใครสักคน แทนที่จะเกลียดตัวเอง..."

อา ทึ่งไหมนี่ ความรักของคนๆนี้


ทีนี้คนเขียนเขาบรรยายถึงโศกนาฏกรรมรักสามเส้าอันนี้น่ะจ้ะว่า

"อันที่จริงแล้ว เขาทั้งสองคนเป็นคนประเภทเดียวกันจนเหมือนภาพสะท้อนของอีกฝ่ายหนึ่งพวกเขาดื้อด้าน โง่เขลาอย่างทัดเทียม มีหัวใจรักที่ยิ่งใหญ่ หากแต่อัปลักษณ์และมืดบอด ผิดที่ผิดทางอย่างน่าเศร้า...."

ขอบอกว่าชอบมากจริงๆจ้ะ

ส่วนเรื่องสั้นของเพื่อนเจ้าหญิง เราอ่านเรื่องจบแล้วนะ รู้สึกว่าเขียนดีมากทีเดียวจ้ะ ลงตัวดีด้วยนะ เราอ่านแล้ว...ขนลุกนิดหน่อย เพราะช่วงสองสามวันมานี้ เราคิดเรื่องการเรียกชื่อคนๆ หนึ่งด้วย และเขียนถึงด้วยนะ แต่ไม่สวยและซับซ้อนแบบนี้น่ะจ้ะ คือ..เราคิดว่า ในชั่วขณะที่สำคัญของห้วงอารมณ์หรือชีวิต อาจเป็นชั่วขณะที่เล็กๆ หรือใหญ่ๆ

การเรียกชื่อคนๆ หนึ่งอย่างเต็มๆคำ ด้วยความรู้สึก มันน่าจะเป็นช่วงเวลาที่มีความหมายมากนะ สำหรับคนที่จะได้ยิน (คืออันนี้เป็นจินตนาการของเราน่ะจ้ะ) พอเราอ่านเรื่องนี้ เราเลยเข้าใจ (สอดคล้องกับจินตนาการของเราเอง) ว่าทำไมบางคนเดินตามหาคนได้นานเป็นสิบเจ็ดปี เพียงเพื่อชั่วขณะ ณ ขณะนั้นน่ะจ้ะ ที่จะได้ยินคนเรียกชื่อของตนเองอย่างเต็มเสียง เต็มปากเต็มคำ เต็มความรู้สึก เพียงคำเดียวเท่านั้น

คิดว่าเป็นเหตุการณ์ที่แปลกมากๆจ้ะ ที่ส่งเรื่องนี้มาให้อ่านในวันนี้


เมื่อคืนไอติดต่อกันเป็นชั่วโมงเลยจ้ะ เหนื่อยมาก หวังว่าวันนี้จะไม่ไอนานแบบนั้นอีก

คิดถึงนะจ๊ะ
ไปละ

หญิงสาวผู้หวาดกลัวความสุข

หวัดดีจ้ะ เจ้าหญิง

เมื่อวานอ่านเรื่อง "หญิงสาวผู้หวาดกลัวความสุข" ของโยชิโมโต บานานา(แปลโดยฮิโรกะ ลิมวิภูวัฒน์) อ่านเล่มนี้จบแล้วก็คิดถึงไร้เลือดขึ้นมาทันที อาจเพราะเป็นเรื่องสั้นที่ยาว (หรือเรื่องยาวขนาดสั้น)เหมือนกัน และพูดถึงความรัก ความตาย ประสบการณ์ที่เจ็บปวดในอดีต (และการเยียวยาประสบการณ์นั้น) แต่ในขณะเดียวกัน เราก็จะรู้สึกถึงความรักอันท่วมท้นและรุนแรงของ “ฉัน” ที่มีต่อผู้หญิงที่เขารักตลอดทั้งเรื่อง

ที่เหมือนกับ “ไร้เลือด” อีกอย่างหนึ่ง คือทั้งเรื่องมีตัวละครน้อยมาก เรื่องนี้มี “ฉัน” เป็นผู้เล่าและบรรยายถึงความรักที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่งที่ “ฉัน” เรียกเป็นชื่อเล่นว่า จิ้งเหลน (แปลกมั้ยนี่) เพราะครั้งที่พบเธอครั้งแรก ตอนนั้นเธอเป็นครูสอนแอโรบิคที่ฟิตเนส ได้เห็นรอยสักรูปจิ้งเหลนตรงขาอ่อนด้านในของเธอ เขาเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนที่พบเธอครั้งแรก ไปเดทกัน จนกระทั่งได้มาอยู่ร่วมบ้านกัน

อ่านตอนแรกมันรู้สึกแปลกๆหน่อย ที่มีคนเปรียบเทียบผู้หญิงที่เขารักเป็นจิ้งเหลน แต่ “ฉัน” ก็บรรยายความรู้สึกรักของตัวเองโดยเทียบกับจิ้งเหลนได้อย่างไม่คิดว่าใครจะเปรียบเทียบได้ ว่าอย่างนี้

“ถ้าจิ้งเหลนถูกห่อหุ้มอยู่ในฝ่ามือ มันจะขยับตัวไปมา ทำให้รู้สึกจั๊กจี้ด้วยขาแหลมที่ให้ความรู้สึกแปลก ๆ เมื่อถูกมันสัมผัส พอมองลอดเข้าไประหว่างมือทั้งสองนั้น มันจะแลบลิ้นเล็กๆสีแดงของมัน ดวงตาที่คล้ายลูกแก้วจะสะท้อนให้เห็นใบหน้าอันว้าเหว่และขี้อ้อนของฉันเอง และเผยให้เห็นความต้องการที่จะถนอมรักษาอะไรสักอย่างเหลือเกิน

“ถ้าฉันบีบแรงขึ้นหน่อย มันคงจะแบนเละแน่นอน ดังนั้น ฉันควรจะรู้สึกว่ามีอำนาจเหนือกว่ามัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง ฉันไม่มีทางทำอย่างนั้นได้ ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองที่ต้องพึ่งพาสิ่งมีชีวิตที่ทั้งเล็กและเยือกเย็นถึงเพียงนี้ เธอเปรียบเหมือนราชินีผู้สูงส่งกว่าฉันเป็นไหน ๆ ถึงตายไปก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”

จิ้งเหลนนั้นเป็นผู้หญิงที่มีบุคลิกแปลก และอมทุกข์ตลอดเวลาตามชื่อเรื่อง แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ “ฉัน” หลงรักจิ้งเหลนอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ ช่วงกลาง ๆ ของเรื่อง ผู้เขียนเปิดเผยความลับของจิ้งเหลนที่ประสบกับเหตุการณ์ที่เป็นความรุนแรงและนำมาสู่ความตายในวัยเด็กของเธอ ด้วยความรัก “ฉัน” จึงทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือให้เธอพ้นจากห้วงทุกข์นั้น ซึ่งในช่วงท้ายของเรื่อง ผู้เขียนก็เฉลยให้เห็นว่า “ฉัน” นั้นก็มีบาดแผลอันเจ็บปวดในอดีตเหมือนกัน ชีวิตประจำวันของ “ฉัน” กับจิ้งเหลนจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศที่กดทับ จิ้งเหลนไม่ชอบออกไปข้างนอกหาความสำราญ เธอชอบกลับบ้านมากินอุด้งที่ “ฉัน” ทำโดยไม่ใส่เครื่องปรุงรสใดๆ เธอบอกว่า

“ฉันกลัวจริงๆนะ ถ้าฉันหาความสุขให้ตัวเอง กินของอร่อยมากๆ มองทิวทัศน์ที่สวยงาม หรือทำให้ตัวเองสบาย จริงๆแล้ว เรื่องอย่างการตกแต่งห้องด้วยดอกไม้ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันและเธอ และคนไข้ของฉัน แต่ฉันกลัวจนไม่สามารถทำได้ พอฉันรู้สึกสนุกกับเรื่องหนึ่ง ฉันกลัวว่าในภายหลังฉันจะรู้สึกทุกข์ยิ่งขึ้นกับบาปที่ทำลงไปในอดีต”

และนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้สองคนนี้เป็นคนรักกัน เป็นความรักที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลและอารมณ์ที่แปลกประหลาด และเกิดขึ้นอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย แต่กลับดูเหมือนเป็นเหตุผลในตัวของมันเอง เขาเฝ้าดูเธอ แล้วชอบเธอขึ้นเรื่อย ๆ

“เป็นความรู้สึกเหมือนกับการชอบกินใบชิโสะหรือวาซาบิ ตอนแรกจะขนลุกเพราะรสชาติที่แปลกประหลาดของมัน แต่จู่ๆจะชอบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในปริมาณเท่ากับเหตุผลและความรู้สึกที่ทำให้ขนลุกขนพองในตอนแรก”

“ฉัน” ยังบอกอีกว่า ความรักต่อจิ้งเหลน ไม่ใช่ความต้องการในร่างกายของเธอ แต่เป็นความรู้สึกที่อ่อนโยนลึกซึ้งกว่านั้น เขาบรรยายไว้ว่า

“อย่างเช่น การได้นัดเจอกับคนที่รู้สึกชอบทั้งที่ยังไม่ได้รู้จักดีนัก ในเวลาเย็นท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิที่อากาศชื่นบาน การได้รับความรู้สึกอบอุ่นและตื่นเต้นขณะนั่งอยู่ในรถไฟ พลางคิดว่าจะไปกินข้าวที่ไหนดี ไปดื่มต่อที่ไหน พาไปไหนเธอถึงจะชอบ เป็นเพียงความรู้สึกเบิกบานใจก่อนที่จะแอบคิดแฝงเพิ่มขึ้นว่า คืนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป

“..แน่นอน ความคิดแอบแฝงย่อมมีหลบซ่อนอยู่เป็นพื้นฐาน แต่เมื่อยังไปไม่ถึงขั้นนั้น ความรู้สึกก็ยังเป็นเหมือนผิวน้ำที่ใสสะอาด การได้เห็นอีกฝ่ายเดินเหินด้วยกิริยาท่าทางเรียบร้อย ได้สังเกตเห็นลายผ้าพันคอหรือชายเสื้อโค้ตที่เธอตั้งใจสวมใส่มาเพื่อให้ฉันดูโดยเฉพาะ เพียงเท่านี้ ความรู้สึกของฉันได้รับการแต่งแต้มจนสวยงามขึ้นมาใหม่ เหมือนมีอะไรบางอย่างกระตุ้นสิ่งที่ฉันสูญเสียไปนานให้ลอยกลับมาอีกครั้ง ราวกลิ่นหอมในสายลม”

ตัวละครทั้งสองคนมีความเหมือนกันอีกอย่างคือ ความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อช่วยเหลือคนอื่น “ฉัน” ทำงานเป็นผู้ช่วยจิตแพทย์บำบัดจิตใจของเด็กๆที่มีปัญหา ส่วนจิ้งเหลนเปิดห้องเล็กๆรับจ้างใช้พลังลมปราณรักษาโรค แต่แรงจูงใจในการทำงานของทั้งคู่กลับไม่เหมือนกัน เพราะ “ฉัน” รู้สึกว่า

“รูปร่างของมนุษย์ ความงามที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ... ตราบที่ยังมีความรู้สึกเช่นนี้ ก็ทำให้อยากจะพยายามทำงานต่อไป เมื่อนึกภาพใบหน้าของเด็กๆ ทั้งหลายที่ฉันได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมา น้ำตาของฉันแทบจะไหลหลั่ง ทำให้คิดว่าฉันควรจะทำสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ ทำให้ฉันเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกมุ่งมั่น เพราะโลกใบนี้ช่างงดงาม และมนุษย์เราช่วงสมบูรณ์เสียเหลือเกิน”

ส่วนจิ้งเหลนนั้น แรงขับเคลื่อนในการทำงานช่วยเหลือผู้อื่นของเธอเป็นความทุกข์และความผิดบาป คลินิคของเธอหม่นหมอง ไม่มีแม้แต่ดอกไม้ประดับให้คนไข้ที่มาหารู้สึกสดชื่นขึ้น นั่นเป็นข้อสังเกตของ “ฉัน” แม้จิ้งเหลนรักษาคนป่วยให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ “แต่ถึงกระนั้น จิ้งเหลนก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าดีใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ฉันก็เห็นเธอตำหนิตัวเองอยู่ร่ำไป ทำให้ฉันมีทั้งความภาคภูมิใจในตัวเธอ และมีลางสังหรณ์หม่นๆไปพร้อมๆกัน ฉันรู้สึกเศร้าสลดที่เธอไม่ยอมผ่อนคลาย เธอเฝ้าแต่จะทำให้ชีวิตตัวเองสั้นลงเรื่อยๆ พร้อมกับวันปีที่ล่วงเลย”

ด้วยความรักแกมปวดร้าวที่มีต่อหญิงสาวที่เขารัก (“เวลาที่ฉันมองเธอ ไม่รู้ทำไมคำว่า “หน้าที่” จึงลอยขึ้นมาในหัว ฉันรู้สึกได้ถึงความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรสักอย่างและเพื่อเป้าหมายบางอย่าง ทั้งที่อะไรบางอย่างนั้นเกือบบีบทับฉันจนแบนก็ตาม”) เรื่องจึงขับเคลื่อนไปถึงตอนจบด้วยการเปิดเผยความลับ การให้จิ้งเหลนย้อนกลับไปสัมผัสแตะต้อง ความตาย ความเจ็บปวดและบาปที่เกิดจากความตายนั้นด้วยดวงตาคู่ใหม่ ย้อนกลับไปมองมันพร้อมกับดวงตาของอีกคนหนึ่งที่รักเธออย่างเหลือเกิน ไม่เท่านั้น เขาก็พาเธอย้อนกลับไปแตะต้องอดีตในวัยเด็กของเขาด้วย

เพราะมี 2 คนคงดีกว่าคนเดียวที่จะช่วยกันฝ่าข้ามความทุกข์ที่สะสมกัดกินมานานปีไปสู่วันพรุ่งนี้ที่สดใสกว่า
สำหรับเรา เรื่องนี้ผู้เขียนบรรยายความรู้สึกได้ดีและจริงแท้มาก เป็นถ้อยคำง่ายๆทั้งหมดแต่เห็นภาพ คนแปลก็แปลได้ดีด้วย อีกตอนที่เราชอบและรู้สึกใช่ด้วยก็คือตอนนี้จ้ะ..

“ความเป็นจริงคือ เพียงแค่อยากกอด อยากสัมผัสและอยากจูบ อยากเหลือเกินที่จะเข้าใกล้อีกแม้เพียงสักนิด แม้ทุกอย่างจะเป็นความรู้สึกฝ่ายเดียว แต่เป็นความรู้สึกที่แทบทำให้น้ำตาไหล ต้องเป็นตอนนี้ กับคนคนนี้เท่านั้น ไม่ใช่คนนี้ไม่ได้ ฉันรู้แล้ว มันคือความรักนั่นเอง...”
หวัดดีตอนเช้าจ้ะ

คิดถึงเธอ...


คิดถึงเธอจนร้อนจนร้าวใจ
ดังมีลาวาภูเขาไฟในทรวงอก
สะท้านสะเทือนจนทั่วกายไหวสะทก
พิศวงกับรสรักอันลึกล้ำ

เป็นความทรมานอันหอมหวาน
ฉันโอบกอดอากาศทุกคืนค่ำ
ความคิดถึงมาเยี่ยมหาเป็นประจำ
คิดถึงเธอ...
มันร้อนร่ำ..และเหน็บหนาวในคราวเดียว

The eyes of the sweetest heart

เจ้าหญิงจ๊ะ

วันนี้อารมณ์ดีมากๆเลยจ้ะ ยังรู้สึกหวานติดปลายลิ้นมาจนบัดนี้
ก็เลยไปเขียนกลอนถึงน่ะจ้ะ จำได้ไหมที่คุยให้ฟังว่า กาพย์ยานี 11 มันน่าจะเหมาะกับจังหวะของถ้อยคำสัมผัสภาษาอังกฤษ ก็เลยเขียนมาให้อ่านเล่นๆจ้ะ

เป็นแรงบันดาลใจจากความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลในวันนี้ แววตาของเจ้าหญิง และประโยค "คนที่เธอรักที่รักเธอ" ที่เจ้าหญิงชอบ จึงออกมาเป็นกลอนข้างล่างนี้จ้ะ

จุ๊บๆๆๆนะจ๊ะ

I see senses in your eyes, and a shadow of mine,
Oh the eyes of the sweetest heart.

Your senses tear me apart. Forever it lasts.
And I keep desire for more.

Such thrills that I long for, from the body of yours.
And in your heavenly embrace, I kiss.

I taste your flowery lips, like the wine I sip,
Tenderly, thirstily, amorously.

Oh storm comes suddenly. I find my destiny
Dancing along your heart-shaking rhyme.

A hundred senses in my dream, flowing like a stream,
Swiftly fill up my unfilled life.

Then I wake up from my night, to the morning glory light
As if I’m blessed by sunshine.

‘Cause when I see senses in your eyes, and a shadow of mine,
You’d see the eyes of my sweetest heart.

ฉันก็มีแต่โหยหา


ฉันก็มีแต่โหยหา
โลกรอบกายเลือนพร่าไปทุกสิ่ง
กอดรัดสัมผัสเธอเท่านั้นที่เป็นจริง
รุ่มร้อนอ่อนหวานยิ่งแม้ในฝัน

ได้เพียงแต่ไล้จูบลูบอากาศ
เธอคือคำตอบต่อปรารถนาฉัน
จุมพิต..กอดรัด..สัมผัสเธอทุกๆวัน
ฉันไม่ฝัน..ไม่หวังอื่นใดในโลกนี้

ฉันก็ได้แต่รอคอย
วันที่ปรารถนาเลื่อนลอย..ได้อยู่กับที่
แล้วร่างกาย..จิตใจ..และทั้งหมดที่มี
ฉันจะคลี่ลงวางแทบเท้าเธอ

โปรดให้สัมผัสฉันได้บอก
ว่าอ้อมแขนฉันโอบกอดเธอเสมอ
ให้จุมพิตฉันสื่อสารกับกายเธอ
ฉันคิดถึง..ฉันเพ้อหามานานแล้ว

อ้อมกอดเธอคือบ้านของฉัน


กอดเธอเหมือนหัวใจได้กลับบ้าน
อบอุ่นอ่อนหวานนิ่งสงบ
เคยคิดว่าชีวิตมีครบ
เมื่อกอดเธอกลับได้พบความมหัศจรรย์

กอดเธอฉันเหมือนได้กอดโลก
ทุกข์...สุข...เศร้าโศก..เปลี่ยนแปรผัน
รัก..โลภ..โกรธ..หลง..สารพัน
ทั้งเหมือนจริงทั้งเหมือนฝันเมื่อกอดเธอ

กอดเธอเหมือนได้กอดความรัก
ฉันตระหนักว่าจะกอดเธอเสมอ
ทั้งในยามจากพรากยามพบเจอ
(เพราะ) อ้อมกอดเธอคือบ้านของฉัน