วันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2551

คุณหนูของยาขอบ


กะทิ..เด็กบ้านนอกของแฟนจ๊ะ

ตอนนี้ก็บ่ายแก่แล้ว อากาศก็เริ่มเย็นลงเป็นลำดับ ส่วนอาการปวดท้องของแฟนก็เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี ทำให้อาการคลุ้มคลั่งคุ้มดีคุ้มร้ายของแฟนก็พลอยบรรเทาเบาบางลงไปด้วยจ้ะ (เฮ้อ)

ตอนนี้ กะทิกำลังหน้าดำคร่ำเครียดปั่นงานอยู่ จึงสั่งห้ามไม่ให้แฟนรวบกวน ส่วนแฟนก็... อยากจะทักชวนคุยเล่นก็เกรงใจ เพราะถึงกะทิจะเป็นเด็กบ้านนอก แต่เด็กบ้านนอกเค้าก็จริงจังกับชีวิตเหมือนกัน.. และต้องทำมาหากินมีเดดไลน์ส่งงานเหมือนกันนะ ฮึ จะมามัวคุยเล่นอยู่กับแฟนได้ยังไง ใช่ไหมๆๆ

งั้นแฟนเล่าเรื่องสัพเพเหระให้กะทิฟังทางนี้ดีกว่านะ นะ จะได้ไม่ฟุ้งซ่าน แล้วก็...ไม่รบกวนการทำงานของกะทิไง

แฟนอ่านหนังสือ “รักแท้ รวมเรื่องสั้นอันเป็นที่รักของยาขอบ” อยู่หลายวันกว่าจะจบ เพราะหนังสือมันหนามาก ๆ จึงไม่ได้หอบหิ้วติดตัวไปไหนมาไหนด้วย ได้แต่ทิ้งแหมะไว้ที่หัวนอน อ่านก่อนนอนทุกคืน มันถึงจบช้า หนังสือเล่มนี้ก็ดีนะจ๊ะ เด็กสำนวนโบราณๆ อย่างกะทิน่าจะชอบ มีเรื่องเพื่อนแพง (ที่เค้าเอามาทำเป็นหนัง) ด้วยนะ เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวในเล่มนะ ที่สำนวนจะออกแนวลูกทุ่ง แล้วมีคนเอาไปเปรียบเทียบกับเรื่องของ “ไม้ เมืองเดิม” ด้วยนะ ว่าสำบัดสำนวนสูสี เข้าทำนอง ขิงก็รา ข่าก็แรง หรือ ท่านเป็นเจ้าป่า ส่วนข้าเป็นเจ้าถ้ำ (สำนวนนี้แฟนคิดเอง) ฯลฯ

อีกหลายเรื่องก็เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักในหลากหลายรูปแบบ เรื่องของแม่ม่าย เมียน้อย รักสามเส้า ดอกฟ้ากับหมาวัด ฯลฯ ก็ให้อารมณ์ย้อนยุคดีน่ะจ้ะ แฟนก็ไม่ได้ชอบทุกเรื่องหรอกนะ แต่ว่ามันมีอยู่เรื่องนึงที่อ่านแล้วอารมณ์หวานสดชื่นแตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ มาก แฟนขอแนะนำๆๆ ให้กะทิอ่าน (เพราะแฟนชอบๆๆ) เรื่องนั้นคือ “ชื่นจิตต์”

กะทิจ๊ะ เคยอ่าน “จดหมายรักของยาขอบ” แล้วใช่ไหม จำได้ราง ๆ ไหม จดหมายที่ยาขอบเขียนถึงผู้หญิงสาวที่เขารักและเทิดทูนอยู่ช่วงหนึ่ง ทั้งรัก ทั้งหวง ทั้งหลง และอยากทำให้ตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้นๆ เพื่อให้ควรคู่กับหญิงที่เขารัก จากหนังสือเล่มนี้ แฟนถึงรู้ว่า ยาขอบก็เป็นนักเลงรุ่นเก่า มีนิสัย เกเร เจ้าชู้ (แบบชายชาตรี) อย่างที่นักเลงเก่าตัวจริงเขาเป็นกัน แล้วยาขอบเนี่ย ก็แอบชอบผู้หญิงที่เป็นแนวคุณหนูมาก ๆ (เหมือนใครนะ) และเวลานักเขียนพวกนี้เกิดความรู้สึกที่รักมาก และเทิดทูนมาก เขียนหนังสือออกมาก็..หือ...น้ำเน่าแต่ก็มีเสน่ห์แบบเชยๆ มากๆ เลยไงจ๊ะ

เรื่องสั้นเรื่องนี้ ยาขอบเขียน เป็นบันทึกของคุณหนูคนหนึ่ง ที่เริ่มเขียนไดอารี่เมื่อเกิดความรู้สึก “รักครั้งแรก” ขึ้นมาโดยที่ตัวเองก็ยังไม่รู้แน่แท้ว่ารู้สึกอย่างไร และความรักคืออะไร เนื่องจากชายผู้นั้นต่ำต้อยกว่าตน เธอจึงมีแอบเขียนไว้ด้วยนะว่า “ฉันจะรักเขาอย่างไรได้ ไม่ขอรักเป็นอันขาด”

ผู้ชายนั้นเป็นพนักงานบริษัทของ “ป๋า” ของเธอจึงมาทำงานที่บ้านทุกวัน ได้พบหน้าคุณหนูของบ้านก็หลงรัก ส่วนคุณหนูคนนี้ก็หวั่นไหว (แต่ปากแข็ง) เรื่องนี้ ยาขอบให้น้ำหอมกลิ่น “ชื่นจิตต์” ซึ่งเป็นน้ำหอมชั้นหนึ่งของลูบัง ห้างปรุงน้ำหอมชั้นที่หนึ่งของปารีสที่คุณหนูซื้อมาคราวเดียวหกขวด มาเป็นสื่อรักของคุณหนูกับธนู เมื่อความรักเริ่มบ่มเพาะ มีการต่อปากคำกันไปมา คุณหนูโกรธ ก็เลยแอบให้เด็กเอา “ชื่นจิตต์” ไปให้เขาเสียสองขวด “ประชดจังๆ เสียบ้างจะได้รู้สึกตัว” นั่น...คุณหนูมั้ยๆๆๆ

ไอเดียที่เอาน้ำหอม “ชื่นจิตต์” มาเป็นสื่อความรักนี้มันโรแมนติกแบบเชย ๆ ได้ใจจริง ๆ นะ แต่ละบทตอนนี่ เขียนได้โรแมนติกอย่างคลาสสิกชวนอึ้งจริงๆ เลย อย่างฉากหนึ่งเป็นตอนที่ป๋าไม่สบาย คุณหนูจึงต้องไปนั่งเฝ้าไข้ข้างเตียง แล้วคุณธนูต้องเอางานเข้ามาคุยกับป๋าเป็นครั้งคราว เมื่อชายหนุ่มตีหน้าขรึม เป็นการเป็นงาน คุณหนูก็ไปเอาขวดน้ำหอมชื่นจิตต์มาจากห้อง แล้วฉีดเป็นละอองข้ามตัวป๋าไปเพื่อเรียกความสนใจของเขาเสียอย่างงั้น!

แล้วชายหนุ่มตัดพ้อว่าอย่างไรรู้ไหม เขาเงยหน้าขึ้นมาแล้วบอกว่า “จะแกล้งกันไปถึงไหน วาสนาแกล้งผมมากอยู่แล้ว โปรดเถอะ อย่าพลอยแกล้งอีกแรงหนึ่งเลย”

อีกตอนหนึ่งที่คุณหนูเป็นฝ่ายตัดพ้อบ้าง แต่ว่า..แอบมาตัดพ้อโดยการเขียนไว้ในไดอารี่ว่า “เขาทีเดียวทำให้ฉันไม่สบาย จนปวดศีรษะตลอดมาถึงครึ่งวันนี่เข้าแล้ว”

“เมื่อวานนี้แท้ ๆ เขาหาความฉันว่าไปสอนให้เขารู้จักจดจำกลิ่นชื่นจิตต์ ก็แล้วคราวนี้ กลิ่นนั้นอบอวลอยู่ใกล้เขาแล้ว เขาต้องรู้ว่าใครกำลังจะผ่านเขาไป ควรหรือก้มหน้าเสีย ทำเป็นผูกเชือกรองเท้าอยู่ได้ ฉันอยากจะร้องไห้ และสงสัยว่าฉันลดถอยความสวยสดงดงามลงไปที่ตรงไหน ผู้ชายคนที่เคยมองด้วยสายตาที่แสนจะชื่นชม จึงเห็นฉันสำคัญน้อยกว่าเชือกผูกรองเท้าของเขาเสียแล้ว...”

อันนี้ที่แท้ก็คือ เมื่อคุณหนูเดินลงบันไดมา ผ่านโต๊ะทำงานเขา เขาไม่ยอมมองเอาแต่ก้มหน้าผูกเชือกรองเท้า ก็เลยน้อยใจจนแทบจะร้องไห้...และปวดหัวไปครึ่งค่อนวัน

ฮา (นิสัยใครหนอ คุ้น ๆ ไหมกะทิ)

ยาขอบเนี่ย เขียนถึงความไร้เดียงสาแบบเด็ก ๆ ของคุณหนูคนนี้ได้อย่างสมจริงมาก ๆ แฟนจึงเชื่อว่า ยาขอบจะต้องเคยมีแฟนเป็นคุณหนูจริงๆ และเคยหลงใหลคุณหนูมาก ๆ ด้วยจ้ะ อย่างนิสัยขี้หึงแบบนี้

“โปรดพูดกับฉันอย่างคนมีเกียรติยศพูด ธนูไม่เคยรักใครเลยหรือคะ?”
“เคยมามากหลาย แต่ไม่หนักแน่นแน่แท้เหมือนที่รักคุณมัลลิกา”
ฉันร้องออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจว่า “ต๊าย-ตาย” แล้วก็โดยไม่ตั้งใจอีกนั่นแหละ ที่ถอยหลังออกมาห่างเขา ไม่รู้โมโหมาจากไหน ฉันอยากจะฉีกเนื้อเขาเสียเหลือเกิน

ฮา (นิสัย คุ้น ๆ อีกแล้วไหมจ๊ะ ฮึ)

แต่ฝ่ายชายก็ยังทั้งรักทั้งเทิดทูนอยู่แบบนี้แหละจ้ะ

“อธิษฐานให้มัลลิกาแต่งงานไปเสียเร็ว ๆ กับผู้ชายที่รักคุณมากเหมือนผมรัก แต่ให้เขาดีกว่าผมร้อยเท่า เป็นคำอธิษฐานที่ขมขื่น แต่ผมก็ได้ทำให้ทุกคืนจริง ๆ ถ้าผมดีพอ ผมจะสวดเพื่อให้มัลลิกาเป็นของผม เพราะผมไม่เชื่อว่าในส่วนรัก จะมีผู้ชายคนไหนเคยรักผู้หญิงมากมายเหมือนที่ผมรักมัลลิกา”

อีกส่วนหนึ่งที่คิดว่ายาขอบเขียนได้น่ารักน่าเอ็นดู ก็เพราะว่า เขาเขียนให้คุณหนู แม้ว่าจะอกหัก คร่ำครวญ ตัดพ้อ เศร้าสร้อย ก็ยังดำรงชุดความคิดแบบคุณหนูๆ อยู่ดีแหละ ดูอย่างคำพูดต่อไปนี้สิจ๊ะ แฟนคิดว่า มันทั้งน่าเอ็นดูและทั้งขำไปพร้อม ๆ กัน

“เขาต้องคิดไม่ต่างกับที่ฉันคิด โธ่เอ๋ย ฉันสงสารเขายิ่งกว่าสงสารตัวเอง เพราะเขาน่าสงสารยิ่งกว่าฉันมาก ฉันหงอยอย่างพระจันทร์ แต่เขาคงขวัญเสียอย่างกระต่าย เคราะห์ดีที่เป็นกระต่ายฉลาดอยู่บ้าง รู้จักซ่อนหน้า เมื่อรู้ตัวว่าต้องตรมตรอมเพราะแสงจันทร์นั้น”

“เมื่อผู้ชายที่มั่งมีศรีสุขทอดสนิทเข้ามา โดยเอาความภาคภูมิของเขาเป็นเดิมพันนั้น เราอาจไว้ตัวในความเป็นสาวงามของเรา แต่ครั้นผู้ชายจน ๆ บังอาจเข้ามาบ้าง ชูหัวใจดวงเดียวของเขาเข้ามาเป็นเดิมพันนั่นสิ ชั้นแรกเราอาจโดดถอยออกไปหลายก้าว เพราะขยะแขยงต่อความจน แต่ถึงแม้โดดถอยออกไปแล้วไกลแสนไกล รัศมีอันสุกใสของดวงใจที่ซื่อตรงก็ยังฉายประกายแวววับไว้ให้เห็น เหมือนแสงเพชรที่ตกอยู่เหนือตม”

แล้วที่ยิ่งขำขึ้นไปอีก ก็คือตอนที่คุณหนูได้รู้รส “จูบแรก” จากชายผู้เป็นที่รัก หลังจากที่ได้ยืนชมจันทร์เคียงกันยามค่ำคืน จากนั้น ก็มาเขียนลงไดอารี่ว่า

“เพลงอะไรไม่รู้ จำได้แต่เพียงเนื้อร้องเลา ๆ ว่า “ถ้าตัวน้องเป็นชาย พ่อพลายเป็นสตรี ค่ำ ๆ วันนี้จะไปแนบให้หนำใจ” เนื้อร้องตอนนี้ ครั้งโน้น ทำให้ฉันดูหมิ่นแม่ศรีมาลานัก ว่าจิตใจแกหาสมเป็นกุลสตรีหรือลูกสาวเจ้าบ้านผ่านเมืองชั้นพระพิจิตรไม่ ที่คร่ำครวญถึงพลายงามอย่างน่าอับอายขายหน้า แต่เดี๋ยวนี้ ฉันไม่อาจดูหมิ่นลูกสาวพระพิจิตรแล้ว เพราะความจริงช่วยให้เกิดสำนึกว่า แม่ศรีมาลาจะคิดเห็นเช่นนั้นบ้างก็สมควรอยู่ ถ้าเป็นคืนที่อย่างอื่นเงียบ ระงมแต่เสียงแมลง แล้วพระจันทร์ก็ทอแสงอร่ามงามเช่นคืนวันนี้”

ในที่สุด คุณหนูก็แพ้พ่ายแก่ความรักและความปรารถนาเหมือนกับผู้หญิงทุกคนแบบนี้แหละจ้ะ เฮ้อ

อ้อ ลืมบอกไป เรื่องสั้นนี้จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งด้วย อ่านแล้วสนุกน่ารักดีนะจ๊ะ

ไม่มีความคิดเห็น: