เมื่อวานอ่านเรื่อง "หญิงสาวผู้หวาดกลัวความสุข" ของโยชิโมโต บานานา(แปลโดยฮิโรกะ ลิมวิภูวัฒน์) อ่านเล่มนี้จบแล้วก็คิดถึงไร้เลือดขึ้นมาทันที อาจเพราะเป็นเรื่องสั้นที่ยาว (หรือเรื่องยาวขนาดสั้น)เหมือนกัน และพูดถึงความรัก ความตาย ประสบการณ์ที่เจ็บปวดในอดีต (และการเยียวยาประสบการณ์นั้น) แต่ในขณะเดียวกัน เราก็จะรู้สึกถึงความรักอันท่วมท้นและรุนแรงของ “ฉัน” ที่มีต่อผู้หญิงที่เขารักตลอดทั้งเรื่อง
ที่เหมือนกับ “ไร้เลือด” อีกอย่างหนึ่ง คือทั้งเรื่องมีตัวละครน้อยมาก เรื่องนี้มี “ฉัน” เป็นผู้เล่าและบรรยายถึงความรักที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่งที่ “ฉัน” เรียกเป็นชื่อเล่นว่า จิ้งเหลน (แปลกมั้ยนี่) เพราะครั้งที่พบเธอครั้งแรก ตอนนั้นเธอเป็นครูสอนแอโรบิคที่ฟิตเนส ได้เห็นรอยสักรูปจิ้งเหลนตรงขาอ่อนด้านในของเธอ เขาเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนที่พบเธอครั้งแรก ไปเดทกัน จนกระทั่งได้มาอยู่ร่วมบ้านกัน
อ่านตอนแรกมันรู้สึกแปลกๆหน่อย ที่มีคนเปรียบเทียบผู้หญิงที่เขารักเป็นจิ้งเหลน แต่ “ฉัน” ก็บรรยายความรู้สึกรักของตัวเองโดยเทียบกับจิ้งเหลนได้อย่างไม่คิดว่าใครจะเปรียบเทียบได้ ว่าอย่างนี้
“ถ้าจิ้งเหลนถูกห่อหุ้มอยู่ในฝ่ามือ มันจะขยับตัวไปมา ทำให้รู้สึกจั๊กจี้ด้วยขาแหลมที่ให้ความรู้สึกแปลก ๆ เมื่อถูกมันสัมผัส พอมองลอดเข้าไประหว่างมือทั้งสองนั้น มันจะแลบลิ้นเล็กๆสีแดงของมัน ดวงตาที่คล้ายลูกแก้วจะสะท้อนให้เห็นใบหน้าอันว้าเหว่และขี้อ้อนของฉันเอง และเผยให้เห็นความต้องการที่จะถนอมรักษาอะไรสักอย่างเหลือเกิน
“ถ้าฉันบีบแรงขึ้นหน่อย มันคงจะแบนเละแน่นอน ดังนั้น ฉันควรจะรู้สึกว่ามีอำนาจเหนือกว่ามัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง ฉันไม่มีทางทำอย่างนั้นได้ ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองที่ต้องพึ่งพาสิ่งมีชีวิตที่ทั้งเล็กและเยือกเย็นถึงเพียงนี้ เธอเปรียบเหมือนราชินีผู้สูงส่งกว่าฉันเป็นไหน ๆ ถึงตายไปก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
จิ้งเหลนนั้นเป็นผู้หญิงที่มีบุคลิกแปลก และอมทุกข์ตลอดเวลาตามชื่อเรื่อง แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ “ฉัน” หลงรักจิ้งเหลนอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ ช่วงกลาง ๆ ของเรื่อง ผู้เขียนเปิดเผยความลับของจิ้งเหลนที่ประสบกับเหตุการณ์ที่เป็นความรุนแรงและนำมาสู่ความตายในวัยเด็กของเธอ ด้วยความรัก “ฉัน” จึงทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือให้เธอพ้นจากห้วงทุกข์นั้น ซึ่งในช่วงท้ายของเรื่อง ผู้เขียนก็เฉลยให้เห็นว่า “ฉัน” นั้นก็มีบาดแผลอันเจ็บปวดในอดีตเหมือนกัน ชีวิตประจำวันของ “ฉัน” กับจิ้งเหลนจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศที่กดทับ จิ้งเหลนไม่ชอบออกไปข้างนอกหาความสำราญ เธอชอบกลับบ้านมากินอุด้งที่ “ฉัน” ทำโดยไม่ใส่เครื่องปรุงรสใดๆ เธอบอกว่า
“ฉันกลัวจริงๆนะ ถ้าฉันหาความสุขให้ตัวเอง กินของอร่อยมากๆ มองทิวทัศน์ที่สวยงาม หรือทำให้ตัวเองสบาย จริงๆแล้ว เรื่องอย่างการตกแต่งห้องด้วยดอกไม้ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันและเธอ และคนไข้ของฉัน แต่ฉันกลัวจนไม่สามารถทำได้ พอฉันรู้สึกสนุกกับเรื่องหนึ่ง ฉันกลัวว่าในภายหลังฉันจะรู้สึกทุกข์ยิ่งขึ้นกับบาปที่ทำลงไปในอดีต”
และนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้สองคนนี้เป็นคนรักกัน เป็นความรักที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลและอารมณ์ที่แปลกประหลาด และเกิดขึ้นอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย แต่กลับดูเหมือนเป็นเหตุผลในตัวของมันเอง เขาเฝ้าดูเธอ แล้วชอบเธอขึ้นเรื่อย ๆ
“เป็นความรู้สึกเหมือนกับการชอบกินใบชิโสะหรือวาซาบิ ตอนแรกจะขนลุกเพราะรสชาติที่แปลกประหลาดของมัน แต่จู่ๆจะชอบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในปริมาณเท่ากับเหตุผลและความรู้สึกที่ทำให้ขนลุกขนพองในตอนแรก”
“ฉัน” ยังบอกอีกว่า ความรักต่อจิ้งเหลน ไม่ใช่ความต้องการในร่างกายของเธอ แต่เป็นความรู้สึกที่อ่อนโยนลึกซึ้งกว่านั้น เขาบรรยายไว้ว่า
“อย่างเช่น การได้นัดเจอกับคนที่รู้สึกชอบทั้งที่ยังไม่ได้รู้จักดีนัก ในเวลาเย็นท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิที่อากาศชื่นบาน การได้รับความรู้สึกอบอุ่นและตื่นเต้นขณะนั่งอยู่ในรถไฟ พลางคิดว่าจะไปกินข้าวที่ไหนดี ไปดื่มต่อที่ไหน พาไปไหนเธอถึงจะชอบ เป็นเพียงความรู้สึกเบิกบานใจก่อนที่จะแอบคิดแฝงเพิ่มขึ้นว่า คืนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
“..แน่นอน ความคิดแอบแฝงย่อมมีหลบซ่อนอยู่เป็นพื้นฐาน แต่เมื่อยังไปไม่ถึงขั้นนั้น ความรู้สึกก็ยังเป็นเหมือนผิวน้ำที่ใสสะอาด การได้เห็นอีกฝ่ายเดินเหินด้วยกิริยาท่าทางเรียบร้อย ได้สังเกตเห็นลายผ้าพันคอหรือชายเสื้อโค้ตที่เธอตั้งใจสวมใส่มาเพื่อให้ฉันดูโดยเฉพาะ เพียงเท่านี้ ความรู้สึกของฉันได้รับการแต่งแต้มจนสวยงามขึ้นมาใหม่ เหมือนมีอะไรบางอย่างกระตุ้นสิ่งที่ฉันสูญเสียไปนานให้ลอยกลับมาอีกครั้ง ราวกลิ่นหอมในสายลม”
ตัวละครทั้งสองคนมีความเหมือนกันอีกอย่างคือ ความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อช่วยเหลือคนอื่น “ฉัน” ทำงานเป็นผู้ช่วยจิตแพทย์บำบัดจิตใจของเด็กๆที่มีปัญหา ส่วนจิ้งเหลนเปิดห้องเล็กๆรับจ้างใช้พลังลมปราณรักษาโรค แต่แรงจูงใจในการทำงานของทั้งคู่กลับไม่เหมือนกัน เพราะ “ฉัน” รู้สึกว่า
“รูปร่างของมนุษย์ ความงามที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ... ตราบที่ยังมีความรู้สึกเช่นนี้ ก็ทำให้อยากจะพยายามทำงานต่อไป เมื่อนึกภาพใบหน้าของเด็กๆ ทั้งหลายที่ฉันได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมา น้ำตาของฉันแทบจะไหลหลั่ง ทำให้คิดว่าฉันควรจะทำสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ ทำให้ฉันเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกมุ่งมั่น เพราะโลกใบนี้ช่างงดงาม และมนุษย์เราช่วงสมบูรณ์เสียเหลือเกิน”
ส่วนจิ้งเหลนนั้น แรงขับเคลื่อนในการทำงานช่วยเหลือผู้อื่นของเธอเป็นความทุกข์และความผิดบาป คลินิคของเธอหม่นหมอง ไม่มีแม้แต่ดอกไม้ประดับให้คนไข้ที่มาหารู้สึกสดชื่นขึ้น นั่นเป็นข้อสังเกตของ “ฉัน” แม้จิ้งเหลนรักษาคนป่วยให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ “แต่ถึงกระนั้น จิ้งเหลนก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าดีใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ฉันก็เห็นเธอตำหนิตัวเองอยู่ร่ำไป ทำให้ฉันมีทั้งความภาคภูมิใจในตัวเธอ และมีลางสังหรณ์หม่นๆไปพร้อมๆกัน ฉันรู้สึกเศร้าสลดที่เธอไม่ยอมผ่อนคลาย เธอเฝ้าแต่จะทำให้ชีวิตตัวเองสั้นลงเรื่อยๆ พร้อมกับวันปีที่ล่วงเลย”
ด้วยความรักแกมปวดร้าวที่มีต่อหญิงสาวที่เขารัก (“เวลาที่ฉันมองเธอ ไม่รู้ทำไมคำว่า “หน้าที่” จึงลอยขึ้นมาในหัว ฉันรู้สึกได้ถึงความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรสักอย่างและเพื่อเป้าหมายบางอย่าง ทั้งที่อะไรบางอย่างนั้นเกือบบีบทับฉันจนแบนก็ตาม”) เรื่องจึงขับเคลื่อนไปถึงตอนจบด้วยการเปิดเผยความลับ การให้จิ้งเหลนย้อนกลับไปสัมผัสแตะต้อง ความตาย ความเจ็บปวดและบาปที่เกิดจากความตายนั้นด้วยดวงตาคู่ใหม่ ย้อนกลับไปมองมันพร้อมกับดวงตาของอีกคนหนึ่งที่รักเธออย่างเหลือเกิน ไม่เท่านั้น เขาก็พาเธอย้อนกลับไปแตะต้องอดีตในวัยเด็กของเขาด้วย
เพราะมี 2 คนคงดีกว่าคนเดียวที่จะช่วยกันฝ่าข้ามความทุกข์ที่สะสมกัดกินมานานปีไปสู่วันพรุ่งนี้ที่สดใสกว่า
ที่เหมือนกับ “ไร้เลือด” อีกอย่างหนึ่ง คือทั้งเรื่องมีตัวละครน้อยมาก เรื่องนี้มี “ฉัน” เป็นผู้เล่าและบรรยายถึงความรักที่มีต่อผู้หญิงคนหนึ่งที่ “ฉัน” เรียกเป็นชื่อเล่นว่า จิ้งเหลน (แปลกมั้ยนี่) เพราะครั้งที่พบเธอครั้งแรก ตอนนั้นเธอเป็นครูสอนแอโรบิคที่ฟิตเนส ได้เห็นรอยสักรูปจิ้งเหลนตรงขาอ่อนด้านในของเธอ เขาเล่าเรื่องไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ตอนที่พบเธอครั้งแรก ไปเดทกัน จนกระทั่งได้มาอยู่ร่วมบ้านกัน
อ่านตอนแรกมันรู้สึกแปลกๆหน่อย ที่มีคนเปรียบเทียบผู้หญิงที่เขารักเป็นจิ้งเหลน แต่ “ฉัน” ก็บรรยายความรู้สึกรักของตัวเองโดยเทียบกับจิ้งเหลนได้อย่างไม่คิดว่าใครจะเปรียบเทียบได้ ว่าอย่างนี้
“ถ้าจิ้งเหลนถูกห่อหุ้มอยู่ในฝ่ามือ มันจะขยับตัวไปมา ทำให้รู้สึกจั๊กจี้ด้วยขาแหลมที่ให้ความรู้สึกแปลก ๆ เมื่อถูกมันสัมผัส พอมองลอดเข้าไประหว่างมือทั้งสองนั้น มันจะแลบลิ้นเล็กๆสีแดงของมัน ดวงตาที่คล้ายลูกแก้วจะสะท้อนให้เห็นใบหน้าอันว้าเหว่และขี้อ้อนของฉันเอง และเผยให้เห็นความต้องการที่จะถนอมรักษาอะไรสักอย่างเหลือเกิน
“ถ้าฉันบีบแรงขึ้นหน่อย มันคงจะแบนเละแน่นอน ดังนั้น ฉันควรจะรู้สึกว่ามีอำนาจเหนือกว่ามัน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ฉันพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิง ฉันไม่มีทางทำอย่างนั้นได้ ฉันรู้สึกสมเพชตัวเองที่ต้องพึ่งพาสิ่งมีชีวิตที่ทั้งเล็กและเยือกเย็นถึงเพียงนี้ เธอเปรียบเหมือนราชินีผู้สูงส่งกว่าฉันเป็นไหน ๆ ถึงตายไปก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้”
จิ้งเหลนนั้นเป็นผู้หญิงที่มีบุคลิกแปลก และอมทุกข์ตลอดเวลาตามชื่อเรื่อง แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ “ฉัน” หลงรักจิ้งเหลนอย่างไม่อาจหักห้ามใจได้ ช่วงกลาง ๆ ของเรื่อง ผู้เขียนเปิดเผยความลับของจิ้งเหลนที่ประสบกับเหตุการณ์ที่เป็นความรุนแรงและนำมาสู่ความตายในวัยเด็กของเธอ ด้วยความรัก “ฉัน” จึงทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือให้เธอพ้นจากห้วงทุกข์นั้น ซึ่งในช่วงท้ายของเรื่อง ผู้เขียนก็เฉลยให้เห็นว่า “ฉัน” นั้นก็มีบาดแผลอันเจ็บปวดในอดีตเหมือนกัน ชีวิตประจำวันของ “ฉัน” กับจิ้งเหลนจึงเต็มไปด้วยบรรยากาศที่กดทับ จิ้งเหลนไม่ชอบออกไปข้างนอกหาความสำราญ เธอชอบกลับบ้านมากินอุด้งที่ “ฉัน” ทำโดยไม่ใส่เครื่องปรุงรสใดๆ เธอบอกว่า
“ฉันกลัวจริงๆนะ ถ้าฉันหาความสุขให้ตัวเอง กินของอร่อยมากๆ มองทิวทัศน์ที่สวยงาม หรือทำให้ตัวเองสบาย จริงๆแล้ว เรื่องอย่างการตกแต่งห้องด้วยดอกไม้ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับฉันและเธอ และคนไข้ของฉัน แต่ฉันกลัวจนไม่สามารถทำได้ พอฉันรู้สึกสนุกกับเรื่องหนึ่ง ฉันกลัวว่าในภายหลังฉันจะรู้สึกทุกข์ยิ่งขึ้นกับบาปที่ทำลงไปในอดีต”
และนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้สองคนนี้เป็นคนรักกัน เป็นความรักที่เกิดขึ้นด้วยเหตุผลและอารมณ์ที่แปลกประหลาด และเกิดขึ้นอย่างไม่เป็นเหตุเป็นผลเอาเสียเลย แต่กลับดูเหมือนเป็นเหตุผลในตัวของมันเอง เขาเฝ้าดูเธอ แล้วชอบเธอขึ้นเรื่อย ๆ
“เป็นความรู้สึกเหมือนกับการชอบกินใบชิโสะหรือวาซาบิ ตอนแรกจะขนลุกเพราะรสชาติที่แปลกประหลาดของมัน แต่จู่ๆจะชอบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ในปริมาณเท่ากับเหตุผลและความรู้สึกที่ทำให้ขนลุกขนพองในตอนแรก”
“ฉัน” ยังบอกอีกว่า ความรักต่อจิ้งเหลน ไม่ใช่ความต้องการในร่างกายของเธอ แต่เป็นความรู้สึกที่อ่อนโยนลึกซึ้งกว่านั้น เขาบรรยายไว้ว่า
“อย่างเช่น การได้นัดเจอกับคนที่รู้สึกชอบทั้งที่ยังไม่ได้รู้จักดีนัก ในเวลาเย็นท่ามกลางฤดูใบไม้ผลิที่อากาศชื่นบาน การได้รับความรู้สึกอบอุ่นและตื่นเต้นขณะนั่งอยู่ในรถไฟ พลางคิดว่าจะไปกินข้าวที่ไหนดี ไปดื่มต่อที่ไหน พาไปไหนเธอถึงจะชอบ เป็นเพียงความรู้สึกเบิกบานใจก่อนที่จะแอบคิดแฝงเพิ่มขึ้นว่า คืนนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป
“..แน่นอน ความคิดแอบแฝงย่อมมีหลบซ่อนอยู่เป็นพื้นฐาน แต่เมื่อยังไปไม่ถึงขั้นนั้น ความรู้สึกก็ยังเป็นเหมือนผิวน้ำที่ใสสะอาด การได้เห็นอีกฝ่ายเดินเหินด้วยกิริยาท่าทางเรียบร้อย ได้สังเกตเห็นลายผ้าพันคอหรือชายเสื้อโค้ตที่เธอตั้งใจสวมใส่มาเพื่อให้ฉันดูโดยเฉพาะ เพียงเท่านี้ ความรู้สึกของฉันได้รับการแต่งแต้มจนสวยงามขึ้นมาใหม่ เหมือนมีอะไรบางอย่างกระตุ้นสิ่งที่ฉันสูญเสียไปนานให้ลอยกลับมาอีกครั้ง ราวกลิ่นหอมในสายลม”
ตัวละครทั้งสองคนมีความเหมือนกันอีกอย่างคือ ความมุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อช่วยเหลือคนอื่น “ฉัน” ทำงานเป็นผู้ช่วยจิตแพทย์บำบัดจิตใจของเด็กๆที่มีปัญหา ส่วนจิ้งเหลนเปิดห้องเล็กๆรับจ้างใช้พลังลมปราณรักษาโรค แต่แรงจูงใจในการทำงานของทั้งคู่กลับไม่เหมือนกัน เพราะ “ฉัน” รู้สึกว่า
“รูปร่างของมนุษย์ ความงามที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ... ตราบที่ยังมีความรู้สึกเช่นนี้ ก็ทำให้อยากจะพยายามทำงานต่อไป เมื่อนึกภาพใบหน้าของเด็กๆ ทั้งหลายที่ฉันได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมา น้ำตาของฉันแทบจะไหลหลั่ง ทำให้คิดว่าฉันควรจะทำสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ ทำให้ฉันเปี่ยมล้นไปด้วยความรู้สึกมุ่งมั่น เพราะโลกใบนี้ช่างงดงาม และมนุษย์เราช่วงสมบูรณ์เสียเหลือเกิน”
ส่วนจิ้งเหลนนั้น แรงขับเคลื่อนในการทำงานช่วยเหลือผู้อื่นของเธอเป็นความทุกข์และความผิดบาป คลินิคของเธอหม่นหมอง ไม่มีแม้แต่ดอกไม้ประดับให้คนไข้ที่มาหารู้สึกสดชื่นขึ้น นั่นเป็นข้อสังเกตของ “ฉัน” แม้จิ้งเหลนรักษาคนป่วยให้หายได้อย่างน่าอัศจรรย์ “แต่ถึงกระนั้น จิ้งเหลนก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าดีใจเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ฉันก็เห็นเธอตำหนิตัวเองอยู่ร่ำไป ทำให้ฉันมีทั้งความภาคภูมิใจในตัวเธอ และมีลางสังหรณ์หม่นๆไปพร้อมๆกัน ฉันรู้สึกเศร้าสลดที่เธอไม่ยอมผ่อนคลาย เธอเฝ้าแต่จะทำให้ชีวิตตัวเองสั้นลงเรื่อยๆ พร้อมกับวันปีที่ล่วงเลย”
ด้วยความรักแกมปวดร้าวที่มีต่อหญิงสาวที่เขารัก (“เวลาที่ฉันมองเธอ ไม่รู้ทำไมคำว่า “หน้าที่” จึงลอยขึ้นมาในหัว ฉันรู้สึกได้ถึงความพยายามที่จะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรสักอย่างและเพื่อเป้าหมายบางอย่าง ทั้งที่อะไรบางอย่างนั้นเกือบบีบทับฉันจนแบนก็ตาม”) เรื่องจึงขับเคลื่อนไปถึงตอนจบด้วยการเปิดเผยความลับ การให้จิ้งเหลนย้อนกลับไปสัมผัสแตะต้อง ความตาย ความเจ็บปวดและบาปที่เกิดจากความตายนั้นด้วยดวงตาคู่ใหม่ ย้อนกลับไปมองมันพร้อมกับดวงตาของอีกคนหนึ่งที่รักเธออย่างเหลือเกิน ไม่เท่านั้น เขาก็พาเธอย้อนกลับไปแตะต้องอดีตในวัยเด็กของเขาด้วย
เพราะมี 2 คนคงดีกว่าคนเดียวที่จะช่วยกันฝ่าข้ามความทุกข์ที่สะสมกัดกินมานานปีไปสู่วันพรุ่งนี้ที่สดใสกว่า
สำหรับเรา เรื่องนี้ผู้เขียนบรรยายความรู้สึกได้ดีและจริงแท้มาก เป็นถ้อยคำง่ายๆทั้งหมดแต่เห็นภาพ คนแปลก็แปลได้ดีด้วย อีกตอนที่เราชอบและรู้สึกใช่ด้วยก็คือตอนนี้จ้ะ..
“ความเป็นจริงคือ เพียงแค่อยากกอด อยากสัมผัสและอยากจูบ อยากเหลือเกินที่จะเข้าใกล้อีกแม้เพียงสักนิด แม้ทุกอย่างจะเป็นความรู้สึกฝ่ายเดียว แต่เป็นความรู้สึกที่แทบทำให้น้ำตาไหล ต้องเป็นตอนนี้ กับคนคนนี้เท่านั้น ไม่ใช่คนนี้ไม่ได้ ฉันรู้แล้ว มันคือความรักนั่นเอง...”
“ความเป็นจริงคือ เพียงแค่อยากกอด อยากสัมผัสและอยากจูบ อยากเหลือเกินที่จะเข้าใกล้อีกแม้เพียงสักนิด แม้ทุกอย่างจะเป็นความรู้สึกฝ่ายเดียว แต่เป็นความรู้สึกที่แทบทำให้น้ำตาไหล ต้องเป็นตอนนี้ กับคนคนนี้เท่านั้น ไม่ใช่คนนี้ไม่ได้ ฉันรู้แล้ว มันคือความรักนั่นเอง...”
หวัดดีตอนเช้าจ้ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น