ปรารถนามาเยือน...
เหมือนพายุรุกรานวันสงบ
เพียงได้พบเธอในฝันก็หวั่นไหว
หลับตาลงสบตาเธอครั้งใด
ฉันก็พ่ายแพ้ใจไปทุกครั้ง
หวัดดีจ้ะ
สิ่งที่หนังสือเล่มนี้ดึงดูดใจเรามาก คือ การออกแบบรูปเล่มและภาพประกอบ หนังสือทำเป็นขนาดเล็ก ๆ กระทัดรัด ปกแข็งสีดำ แลดูเรียบเก๋ แต่เมื่อเปิดดูเนื้อใน จะเห็นภาพประกอบสีฉูดฉาดของ Ruben Toledo ซึ่งปกหลังให้เครดิตว่าเป็นจิตรกร ประติมากร และนักวาดภาพประกอบที่มีผลงานในนิตยสารชื่อดังๆ ของอเมริกาหลายฉบับ ภาพประกอบและการดีไซน์หน้าหนังสือช่วยทำให้หนังสือดูเก๋น่ารักและมีสีสันมากยิ่งขึ้น ก็ยังถ่ายรูปเก็บไว้มาให้ดูด้วยเลยจ้ะ

ณ วันที่รางวัลประกาศผลนั้น เข้าใจว่าคุณยายทราบข่าวรางวัลที่ได้จากพวกสื่อมวลชนที่ไปรุมสัมภาษณ์นั่นเอง ตอนั้นเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลน่ะจ้ะ แกบอกว่า "รู้สึกแปลกใจนิดๆ เพราะจริงๆลืมเรื่องนี้ไปแล้ว" ความที่ชื่อของดอริส เลสซิงอยู่ในฐานะผู้เข้าชิงรอบสุดท้ายรางวัลนี้มานานมากจ้ะ ว่ากันว่าลุ้นๆกันมาร่วม 40 ปีแล้วทีเดียว แกคิดอีกนิดหนึ่งแล้วก็บอกว่า จริงๆมันก็ไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะ "พวกเขาก็คงต้องให้ฉันสักวันก่อนที่ฉันจะตายไป หรือไม่ก็อดให้เลย"
นึกถึงตอนนี้แล้วก็ งานพวกนี้เป็นงานประวัติศาสตร์น่ะจ้ะ อ่านเพื่อเข้าใจสภาพสังคมและความกดดันของผู้หญิงสมัยโน้น ถ้าอ่านตอนนี้แล้วคงไม่ได้อารมณ์มาก เพราะโลกของผู้หญิงก็เปลี่ยนไป แล้วคงไม่มีผู้หญิงคนไหนที่ถูกกดดันมากขนาดนั้น ณ ตอนนี้ แต่เราก็ชอบงานเขียนของนักเขียนหญิงยุคนี้เหมือนกันนะจ๊ะ ส่วนใหญ่ก็จะเขียนเรื่องสิ่งที่กดทับผู้หญิงอยู่แบบนี้คล้ายๆกันหมด อย่างวลีของเวอร์จิเนีย วูล์ฟ ที่บอกว่า "ผู้หญิงต้องมีห้องส่วนตัวและมีรายได้เป็นของตนเอง" ที่เขาพูดไว้นานมาก แต่มันจริงแสนจริงจนถึงทุกวันนี้ เพราะมันเป็นภาพที่เป็นรูปธรรมของการที่ผู้หญิงเราจะยืนอยู่และมีที่ทางของตัวเองทั้งในแง่เศรษฐกิจและอารมณ์ แล้วก็เป็นหลักยึดประจำใจของเรามาจนทุกวันนี้น่ะจ้ะ
วันสองวันมานี้ เอาหนังสือ "ออมก่อนรวยกว่า" ออกมาอ่านด้วย ช่วงนี้ใกล้ปลายปีแล้ว เราจึงมีเรื่องต้องจัดการเกี่ยวกับภาษีเงินได้นิดหน่อยน่ะจ้ะ ปีนี้ถ้าไม่หักค่าลดหย่อนใดๆ เราต้องเสียภาษีให้รัฐประมาณแสนกว่าบาทจ้ะ นี่ก็เลยว่าจะไปซื้อกองทุนรวมที่เล่นหุ้นน่ะจ้ะ ซึ่งจะช่วยลดภาษีลงไปได้ ซึ่งถือว่ามากทีเดียวนะ ดีกว่าฝากเงินไว้ในธนาคารเฉยๆน่ะจ้ะ
ความรู้สึกในการอ่านรอบแรก คือมันน่าทึ่งจริงๆจ้ะ เราว่าเรื่องสั้นๆ ใช้คำน้อยๆ ก็มีพลังดีนะ แม้ว่าในบางครั้ง การเขียนบรรยายเปรียบเทียบความรู้สึกเยอะๆ ก็กินใจไปอีกแบบนึง สรุปว่า เราชอบการเขียนทั้งสองสไตล์นะ ขอให้ทำให้ถึงก็แล้วกัน 
จำได้ว่าเคยอ่านเล่มหนึ่งของอลิซ ซึ่งชื่อหนังสือเพราะมาก ชื่อว่า "Possessing the Secret of Joy" แปลว่า การได้ครอบครองความลับแห่งความเบิกบาน ประมาณนี้น่ะจ้ะ แต่เรื่องเครียดนิดหน่อย เราเลยอ่านได้ไม่จบน่ะจ้ะ เป็นเรื่องของผู้หญิงอาฟริกันคนหนึ่งที่อพยพมาอาศัยอยู่ในอเมริกา ทีนี้ผู้หญิงคนนี้เขามาจากวัฒนธรรมที่มีการขลิบอวัยวะเพศของผู้หญิง (ส่วนที่เป็นคลิตอริสน่ะจ้ะ) แล้วพอมาอเมริกานี่บ้านแตกสาแหรกขาด พ่อแม่ก็ไม่อยู่บ้านเกิดก็ไม่มีให้กลับ เขาก็เลยเกิดความทุกข์และต้องหาหาอะไรบางอย่างมาเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเพื่อไม่ให้รู้สึกว่าตัวเองไร้ราก ก็เลยตัดสินใจไปขลิบอวัยวะเพศออก แล้วก็ประสบปัญหาทางจิตใจมากมายจนใกล้ๆจะเป็นบ้า (มั้ง จำไม่ค่อยได้จ้ะ) พอดีอลิซให้สัมภาษณ์ว่า เขียนเรื่องนี้เพราะ ต้องการพูดถึงผู้หญิงที่ไม่เท่าทันกับสังคมและความเป็นไปในโลก ทำให้ในที่สุดต้องทำร้ายตัวเองเพียงเพื่อจะแสวงหาความเป็็นตัวตนหรือความเป็นใครคนหนึ่งที่มีที่ทางในโลกนี้ แล้วบอกว่า เปรียบเสมือนกับผู้หญิงที่รู้สึกว่าจะต้องใส่รองเท้าส้นสูงเพราะเชื่อว่าจะทำให้ตัวเองดูดีมาก เซ็กซี่มาก ทั้งๆที่จริงๆแล้วมันเป็นอันตรายต่อสุขภาพเท้าอย่างยิ่งยวดน่ะจ้ะ
เจ้าหญิงจ๊ะ
หวานมากจ้ะ น้ำตาลซึมเข้าเส้นเลือดและขึ้นสมองหมดแล้ว

หวัดดีจ้ะ เจ้าหญิง
ที่ระลึกของการให้อารมณ์นำพาชีวิต การบูชาความรักอย่างไม่ลืมหูลืมตา อนิจจา..สิ่งที่บูชานั้น ใช่ความรักก็หาไม่